Saturday, October 17, 2015

การสร้างนวัตกรรมในชั้นเรียน ในงาน EDUCA


การสร้างนวัตกรรมในชั้นเรียนโดย อาจารย์แหวว สิริพันธุ์ สุวรรณมรรคา




อาจารย์ให้พวกเราเขียน 4 หัวข้อลงในกระดาษ >>> ผมขอลองวิเคราะห์สิ่งที่อาจารย์ให้พวกเราทำด้วยความเข้าใจของผมเอง ตามทฤษฎีการเรียนรู้ของบรูม (Bloom's taxonomy)



1) เรื่องที่เรามีเราเกิดคำถามอะไรบ้าง >>> การเรียนโดยปราศจากคำถาม ไม่มีแรงบันดาลใจที่จะหาคำตอบนั้นให้ประสิทธิภาพด้อยกว่า
2) วันนี้เราได้ทำอะไรไปบ้าง >>> เป็นการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ การเรียนรู้ขั้นจดจำ (Remember)
3) ผลที่เกิดขึ้นของสิ่งที่ทำลงไป >>> ขั้นนี้ถือว่าเป็นการเรียนรู้ระดับเช้าใจ (Understand)
4) จะไปทำอะไรต่อไป >>> เรียนรู้แล้วไม่ได้นำไปใช้ การเรียนก็จะไม่มีความหมาย ถ้าเราสามารถบอกถึง การกระทำต่อไปได้ เราจะเรียนรู้ได้ในระดับนำไปใช้ (Apply)


หลังจากนั้นอาจารย์เปิดคลิปจาก Teachers as learners ซึ่งนำเสนอโรงเรียนที่มีบริบทดังนี้ เป็นโรงเรียนอังกฤษ ขนาดเล็ก ระดับชั้นอนุบาลและประถมศึกษา ซึ่งโรงเรียนนำหลักสูตรหน้าที่พลเมือง เข้ามาสอนเด็กๆตั้งแต่ยังเล็ก ผ่านกิจกรรม 4 กิจกรรมซึ่งผมคิดว่าเราสามารถนำมาใช้บูรณาการกับการอบรมหรือการสอนได้ กิจกรรมได้แก่
1) กิจกรรมศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง 40-45 นาทีในช่วงแรกของวัน ผู้เรียนจะเริ่มศึกษาในสิ่งที่พวกเขาสนใจ ส่วนคุณครูมีหน้าที่อำนวยความสะดวก เตรียมอุปกรณ์ สังเกตนักเรียน และมีการช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น
2) คุณครูจะนำสิ่งที่แปลกสร้างความสนใจกับเด็ก และนำให้ผู้เรียนเริ่มตั้งคำถาม สิ่งนี้คืออะไร ไว้ใช้ทำอะไร ทำไมจะต้องเป็นเช่นนี้และสิ่งนี้จะนำไปใช้ทำอะไรได้อีกไหม >>> การเรียนรู้อย่ามีจุดหมายจะทำให้คนเราเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆดีขึ้น และจะเป็นการสอนให้นักเรียนให้เหตุผลกับคำถามของตนเอง ว่าทำไมคำถามของเขาจึงเป็นคำถามที่ดี การให้เหตุผลยังนำมาซึ่งการรับฟังของผู้ใหญ่เมื่อเด็กมีการร้องขอ ที่นี้จะสอนเสมอว่าการตอบว่าใช่หรือไม่ใช่จะต้องมีเหตุผลประกอบเสมอ
3) สภาโรงเรียน จะมีการเลือกผู้แทนมาทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงระบบในโรงเรียน สอนให้ผู้เรียนเรียนรู้ที่จะใช้สิทธิของตนเอง
4) กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน รุ่นพี่ช่วยรุ่นน้อง นอกจากสอนสิทธิแล้วและนักเรียนยังมีหน้าที่ต้องตอบแทนสังคม ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น สอนให้นักเรียนเข้าใจและยอมรับความแตกต่างของแต่ละคนในสังคม ในกิจกรรมนี้คุณครูมีหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ จดบันทึกข้อมูล "ถ้าเราไม่ทำการบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นมันจะหายไป"


สถานที่เขียน chilling house coco walk ราชเทวี ไปพร้อมกับดนตรีสดเพราะๆ
ฟ้า >>> จูบ >>> อยู่ต่อเลยได้ไหม >>> รถของเล่น >>>ซินเดอเรล่า >>> ใกล้ >>> ชูวับชูวับ >>> กะหล่ำปลี

Friday, October 16, 2015

บรรยาย Neo-humanist ในงาน EDUCA


Neo-humanist นิวโอฮิวแมนนีส : การประยุกค์นิวโอฮิวแมนนีสไปใช้ในโรงเรียน
ผู้บรรยารย: รองศาสตราจารย์ ดร.เกียรติวรรณ อมาตยกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



นิวโอฮิวแมนนีส เป็นจิตวิทยา ที่ใช้วิธีการด้านบวก ในการพัฒนาให้เป็นคนใหม่


อาจารย์เริ่มด้วยคำถามที่คนส่วนใหญ่ พ่อแม่ คุณครูมักจะถามกันเกี่ยวกับกระบวนการนี้คือ
ใช้วิธีการด้านบวกคนเราจะประสบความสำเร็จได้จริงหรือ...?
ขอท้าวความซักเล็กน้อยว่าเหตุใด พ่อแม่ ครู อาจารย์ถึงมักถามคำถามเช่นนี้ เพราะในสังคมไทย การที่พวกเราใช้การว่า ขู่เด็กในการให้เด็กเปลี่ยนไปสู่พฤติกรรมที่ต้องการ ทำได้ง่าย เร็วและเห็นผล ทำไมเราจึงต้องใช้วิธีด้านบวกด้วย

อาจารย์ยกตัวอย่างเหตุการณ์เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ โดยไม่ได้บอกว่าวิธีไหนกันแน่ที่เป็นวิธีที่ถูกต้อง ขอให้ทุกคนลองอ่านแล้วคิดตามดูนะครับ

ตัวอย่างแรก ข่าวโค้ชเช ที่ใช้การลงโทษตบเด็กจนเกิดบาดแผล ซึ่งคนในสังคมในช่วงนั้นเห็นด้วยคล้อยตามกับโค้ชมากกว่า สิ่งที่โค้ชเชพูดออกสื่อขึ้นมาคือ "ตบแค่นี้เป็นแผลแต่สองสามวันก็หายทำไมถึงทนไม่ได้ ผมตบเขาถึงไปแข่งระดับโลกได้"(คำพูดไม่ได้ตรงเป๊ะนะครับ) ขอย้ำว่าในที่นี้ไม่ได้เขียนเพื่อตำหนิใครแต่ขอเป็นตัวอย่างในการอธิบายเฉยๆนะครับ จากตัวอย่างแรก อาจารย์ตอบว่าจริงที่โค้ชเชพูดนั้นถูกต้อง แผลทางกายนั้นหายได้ แต่แผลทางใจนั้นยากที่จะหาย ประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาสู่ชีวิตคนเราถูกเก็บและฝังลึกในจิตใต้สำนึก

ขอพูดเรื่องจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกซักเล็กน้อย
จิตสำนึก คือประสาททั้ง 5 ของคนเรา เห็น ได้ยิน สัมผัส รส กลิ่น (ซึ่งตัวเห็นจะส่งผลกับจิตใต้สำนึกมากที่สุด) ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในจิตสำนึก ประสบการณ์ต่างๆ จะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก (Subconscious mind) ซึ่งเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้ตัวเราเป็นเราในทุกวันนี้ และที่สำคัญชีวิตในวัยเด็กจะเก็บข้อมูลตรงนี้มากที่สุด


ถ้าคนที่อยู่ในวงการของธุรกิจสัมมนาคงจะรู้จักพวก Landmark education ซึ่งจะไปแก้ไขกับเรื่องจิตใต้สำนึกเหล่านี้ ปมบางอย่างเราอาจจะไม่รู้ที่มาหรือไม่เคยตั้งคำถาม กลับเป็นสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเราไว้ ตอนนี้ผู้เขียนกำลังศึกษาเรื่องจิตตปัญญาศึกษาอยู่ว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้หรือไม่

มีจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกแล้ว ก็มีจิตเหนือสำนึก อาจารย์พูดสั้นๆไว้ว่าคนจะเป็นยอดคนได้ต้องพัฒนาในส่วนนี้ ตัวอย่างเช่น โทมัส เอดิสัน ที่คิดหลอดไฟได้นั้นไม่ได้เกิดจากจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึก หรืออะคลีมีดิสที่คิดวิธีหาตรวจสอบมงกุฏทองคำได้จากการแช่น้ำ เป็นที่น่าสังเกตุว่า ความคิดใหญ่ๆจะเกิดขึ้นเมื่อเราผ่อนคลาย

จิตใต้สำนึกนั้นมีผลถึง 93% ของสิ่งที่เราแสดงออกมา และที่เหลือเป็นผลของจิตสำนึก

จิตวิทยานีโอฮิวแมนนีช

หนึ่งในนักจิตวิทยาที่คิดทฤษฎีที่ส่งผลต่อคนทั้งโลกคือซิกมันด์ ฟรอยด์ นอกจากนี้ยังมีพาฟลอฟ เรื่องการทดลองผลตอบสนองต่อกระดิ่งกับการให้อาหารสุนัข นอกจากนี้ก็ได้มีการทดลองมากมายกับสัตว์หลายชนิด จนถึงช่วงหนึ่งคนก็เริ่มมีคำถามว่าสิ่งที่ทดลองกับสัตว์จะใช้กับมนุษย์ได้หรือ แล้วเราจะกลายเป็นสัตว์มากขึ้นไหมถ้าทำตามแนวคิดนี้

การใช้ทฤษฎีกลุ่ม Animality behaviority เห็นได้ชัดในสังคมการฝึกนักกีฬา สิ่งที่น่าตกใจมากคือความคิดที่พ่อแม่ ใช้ความรุ่นแรงกับลูก เพื่อให้ลูกเข้มแข่ง ก้าวร้าว เพื่อที่จะสู้กับคู่ต่อสู้ในสนาม นักกีฬาว่ายน้ำที่เก่งที่สุดอยู่ที่ประเทศจีน เขาใช้การฝึกที่ค่อนข้างรุนแรงเช่นกัน คือเมื่อใดที่นักกีฬาเหนื่อยและเอามือไปแตะขอบสระ ผู้ฝึกซ้อมจะเอาเข้าเหยียบมือนั้นทันที ผลที่ตามมาจากการทำเช่นนั้นคือ นักกีฬาเก่งจริง ได้รางวัลระดับโลก แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือนักกีฬาเหล่านั้นจะตกอันดับในปีต่อมา เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่อาจจะควบคุมตนเองได้เมื่ออยู่ในสนาม เกิดความทรมานในจิตใจทุกครั้งที่ไปเล่นกีฬานั้นๆ

Animal Psychology vs. Human Psychology
ถ้าเทียบกันระหว่างการใช้ด้านลบฝึกนักกีฬา กับการใช้ด้านบวกฝึกนักกีฬา ด้านบวก ด้านบวกนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จแล้วอย่าง โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ เขามีความสุขกับการเล่นกีฬาและยังคงพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

กลับมาที่ซิกมันด์ ฟรอยด์ อาจารย์บอกแนวคิดของตนเองว่า จริงๆแล้วคนที่มีอิทธิพลกับโลกในด้านความคิดไม่ใช้ฟรอย แต่เป็นอาจารย์ของฟรอย นั้นคือชาร์ลส์ ดาร์วิน เรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการ ที่บอกว่า "ผู้ที่แข่งแกร่งกว่าจะอยู่รอด ผู้ที่อ่อนแอจะตายไป" มันเป็นจริงสำหรับสัตว์ อาจารย์ยกตัวอย่างอุปมาอุปมัยที่น่าสนใจขึ้นมา

สิงโตเวลามันเห็นกวางขาเจ็บอยู่ มันจะกินกวางตัวนั้น และเมื่อมันอิ่มมันจะนอนพัก แต่มนุษย์ความต้องการนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ต้องการแล้วก็อยากได้มากขึ้น ในทางกลับกันสิงโตเมื่อเห็นกวางเจ็บจะไม่เข้าไปช่วยเหลือ แต่คนสามารถเลือกที่จะช่วยได้


บรรยายครั้งนี้ไม่มีพักเลย แต่มีการปรับคลื่นสมองแทน ปรับคลื่นสมองให้ต่ำลงด้วยการทำสมาธิ ผมต่ำมากจนเกือบจะหลับไป ระหว่างทำสมาธิอาจารย์ก็พูด และให้จินตนาการได้ด้วย พี่ที่นั่งข้างๆก็ถามขึ้นมาว่าอาจารย์พูดคำนี้ด้วยหรอ...ภาวะคลื่นสมองต่ำ



ขอคั่นรายการด้วย clip นกกระจอกสั้นๆ สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูผมว่าซึ้งดีนะ


I.Q. และ E.Q. เป็นที่รู้กันว่าเราจะมีเพียง I.Q. ไม่ได้ จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนไทย เริ่มตั้งคำถามกับเรื่องนี้ คือเมื่อเกิดเหตุการณ์หมอที่ฉลาดมากๆ แต่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ

E.Q. นั้นแปรผันตามสภาพแวดล้อมร้อยละ 90 ถึง 95 ส่วนพันธุ์กรรมมีผลน้อยมาก การพัฒนา E.Q. นั้นเกิดจากการเสริมแรงทางบวก (Empower)

Empower ที่อาจารย์แนะนำมีด้วยกัน 5 ขั้นตอน ได้แก่ ยิ้ม ชมเชย ดวงตา สัมผัสและการสวัสดี
- ยิ้ม ทำให้เอนโดฟินหรือสารแห่งความสุขนั้นหลั่งออกมา สารนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งคือ growth hormone จะสังเกตได้ว่าใครถูกเลี้ยงดูมาดีจากความสูง เปรียบเทียบระหว่างพ่อแม่ลูก พูดถึงเรื่องความสูงแล้ว อาจารย์ก็แนะนำวิธีการเพิ่มความสูงในวัยเด็กมา มี 4 ขั้นตอน
1) นอนช่วงเวลา 3 ชั่วโมง ก่อนและหลังเที่ยงคืน
2) อารมณ์ดี Growth hormone จะหลั่งออกมา
3) ออกกำลังกาย แบบให้มีเหงื่อออกเยอะๆ
4) กินอาหารที่มีพลังชีวิตสูงๆ พวกผักสด ผลไม้สดทั้งหลาย
- ชมเชย เกิดคำถามขึ้นมาทันทีแล้วเอ๋ เด็กทำผิดนี้ชมได้ไหม ชมแล้วจะเกิดผลดีหรือเปล่า คำตอบคือชมได้และไม่ได้เป็นการโกหกด้วย เราชมในความพยายามของเขา แทนที่จะไปเล่นเกมเหมือนเด็กคนอื่นๆเขาก็มาเข้าเรียน ถึงแม้จะมาสายก็ตาม เราก็ชมแล้วบอกว่าถ้ามาเร็วกว่านี้อีกนิดนึงก็จะดีมากเลย
คนที่เจอคำลบๆตั้งแต่เด็กแล้วเก็บเข้าจิตใต้สำนึก เช่นมาริลิน มอนโร ที่ทุกคนต่างชื่นชมความสวยของเธอ แต่เธอก็ยังคงไปทำสัญกรรม ถึงแม้คนทั้งโลกจะบอกว่าเธอสวย แต่จะมีหนึ่งคนที่บอกว่าไม่สวยนั้นคือตัวเธอเอง จุดจบลงด้วยยาเสพติดเช่นเดียวกับไมเคิล แจ็คสัน และเอวีส พริสลี้

- ดวงตา สื่อถึงความจริงใจและความหวังดีที่เรามีต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
- สัมผัส คนที่มีปัญหาต่างๆในสังคม ถ้าสอบถามจะพบว่าเขาเหล่านั้น ขาดการสัมผัสจากคนรอบตัวด้วยความรัก
- การไหว้เป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก ถือเป็นการเคารพในความดี และความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายหนึ่ง และตัวเราเอง

การทำให้เด็กเก่งทางลบ


1) การเปรียบเทียบ สาเหตุที่พี่น้องทะเลาะกันเพราะการเปรียบเทียบ
2) การใช้คำพูดทางลบ ยิ่งบอกเด็กว่าอย่าซนเขาจะซนมากขึ้น
3) การหลอกให้กลัว กลัวผี กลัวแดด ไม่ดีทั้งนั้น
4) การใช้ความรุนแรง
5) ความไม่สม่ำเสมอ อารมณ์ที่ไม่มั่นคง

ผมขอปิดท้ายบทความ Neo-humanist ด้วยคลิปสั้นๆของ Nick Vujicic หวังว่าทุกคนจะได้รับแรงบันดาลใจจากคลิปนี้ไม่มากก็น้อย แต่ละคนคงมีมุมมองกลับเรื่องราวของเขาแตกต่างกันไป อยากให้มองที่พ่อของเรา และตัวของนิคดู




ขอบคุณที่ติดตามอ่าน...บุญรักษาครับทุกท่าน

Saturday, September 19, 2015

Teach for Thailand - Institute: Group teaching

Group Teaching

1) สิ่งที่ได้เรียนรู้
ผมทำสมุดจดหายวันนี้ แต่จะพยายามเขียนเท่าที่จำได้ ตอนช่วงเช้าอาจารย์สันติ ใช้การสอนจากสภาพแวดล้อมให้เราดู แล้วก็พูดถึงครูที่ดีสอนอย่างไร ซึ่งผมนึกถึง อ.สาคร สุขศรีวงศ์ ซึ่งการได้เรียนกับอาจารย์ท่านนี้ทำให้ผมตัดสินใจทำ TFT ได้ง่ายขึ้น การคิดวิเคราะห์อย่างมีหลักการ และการตอบแทนสังคมในฐานะที่กินภาษีประชาชน อาจารย์สาครมักจะใช้วิธีการตั้งคำถาม ให้พวกเราได้วิเคราะห์ถึงทฤษฎีต่างๆว่าใช้ได้จริงหรือไม่ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ชี้ประเด็นที่พวกเรามองไม่เห็น นำสถานการณ์จริงมาใช้ในการสอน จบโครงการผมอยากกลับไปคุยกับอาจารย์ถึงแม้อาจารย์จะจำผมไม่ได้ก็ตาม

[Technique] ที่อาจารย์สันติใช้ในการเรียกชื่อนักเรียนคือ การบอกลักษณะของเป้าหมาย และเพิ่มการหลอกล่อไปอีกขั้นหนึ่งโดยการไม่มองไปยังคนๆนั้น ผมรู้สึกชื่นชมอาจารย์ ณ จุดนั้นมาก เราตัดสินอะไรบางอย่างโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการณ์คิดอย่างรอบคอบ เช่นเดียวกับคำถามที่อาจารย์พูดว่า ข้อสังเกตที่ว่าตัวอย่างสี่คนที่เล่าถึงครูที่ดีนั้น พูดถึงแต่อาจารย์มหาลัยแสดงว่าเป็นคนที่ไม่ได้มองการณ์ไกลหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่ แต่สังคมไทยถูกบิดเบือนให้ขัดแย้งด้วยการตัดสินเช่นนี้ เช่นเดียวกับเด็กในโรงเรียนขยายโอกาส เราอย่าไปตัดสินเขาในสิ่งที่เขาแสดงออกมา ต้องคิดให้เยอะในเชิงลึกขึ้น

[Beware] อาจารย์สันติถามถึงเรื่อง PISA โต้กับศาสดาเมจิกไมค์ ตรงนี้เป็นการสอนด้วยการแสดงให้ดู ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าอาจารย์เตรียมที่จะสอนเรื่องนี้หรือไม่ หรือเป็นไปตามสถานการณ์นำไปสู่การสอน ซึ่งผมว่าเป็นอย่างหลังมากกว่า ผมสังเกตเห็นแล้วว่าเป็นการถามที่ไม่ได้มองหน้าคนตอบคำถาม การถามในเชิงบี้ผู้ตอบเช่นนี้สร้างความกดดันอย่างมาก หากเราเผลอไปใช้กับเด็ก ซึ่งบางทีเราอาจจะไม่รู้ตัว

[ETC] อาจารย์สันติถามความเห็นเกี่ยวกับ การเปลี่ยนการประเมินเป็นการตอบคำถามแบบอัตนัย ซึ่งซีมตอบคำถามนี้ได้ดีและเหมือนผมจะจำได้ว่าเธอเคยตอบแบบนี้ไปแล้ว วิธีการตอบคำถามแบบอัตนัยจะมีปัญหาตรง ผู้ตรวจมีแนวโน้มสูงที่จะให้คะแนนแบบ Subjective คือใช้ความคิดเห็นส่วนตัว
เรียนช่วงเช้าและบ่ายของหมวดเลข เป็นการเขียนแผนเพื่อนำเสนอแบบกลุ่ม กลุ่มเราเป็นการรวมตัวของเนื้อหาเมื่อวานที่ไม่ค่อยเหมือนกันซักเท่าไร มีลูกปลา ปุ้ย วอลนัทและก็ผม
[ปัญหาที่เกิดขึ้น] เราใช้เวลานานพอสมควรในการเลือกว่าจะใช้ผลงานของใครเป็นแกนหลักเพื่อปรับปรุง พอเลือกแล้วก็ใช้เวลาอยู่นานที่จะรู้ว่าของเดิมยังไม่ได้ตอบจุดประสงค์เท่าที่ควร และสุดท้ายเป็นความคิดเห็นส่วนตัวเราติดกับกิจกรรมมากเกินไป เราพยายามจะเปลี่ยนหัวเรื่องไปตามกิจกรรมเดิมที่คิดไว้ตลอด ผมที่ตามมาก็คือกิจกรรมนำเนื้อหา

[คำแนะนำ] 
1) ระหว่างที่เพื่อนๆกำลังคิดอยู่ผมก็ไปเจอเวปนี้เข้าซึ่งหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อชาว TFT http://www.education.com/activity/all/ เวปนี้มันดีตรงที่มีกิจกรรมให้เลือกเยอะมาก ผมก็เลือกมาอันหนึ่งจากในนี้ เป็นกิจกรรมที่ง่ายมากแต่ได้ผลดี 
2) อาจารย์วิชัยยกตัวอย่างเรื่องการประมาณค่า เป็นเรื่องน้ำท่วม โจทย์ก็คือเราจะวัดและประมาณพื้นที่หน้าตัดของแม่น้ำได้อย่างไร เป็นคำถามที่เปิดกว้างและการนำเอาสถานการณ์จริง ผมชอมมากเป็นการเปิดเข้าสู่เรื่องการประมาณค่าได้ดีมากเลย
[ทดลองสอน] สิ่งที่ต้องปรับปรุงของตัวเอง คือเรื่องน้ำเสียงที่อยู่ในลำคอ ยังลำดับสรุปเนื้อหาไม่ดีพอ ตำแหน่งที่ยืนยังไม่ได้มีจุดหมายที่ชัดเจน การใช้กระดานเหมือนทดมั่วเลย ยังเตรียมตัวมาน้อยไป ให้ความใส่ใจในการคอมเม้นเพื่อนน้อย สิ่งที่ทำได้ คือการบอกจุดที่อาจจะผิดได้ของนักเรียน แก้ปัญหาเฉพาะหน้า

2) ความรู้สึกในวันนี้
สนุกดีวันนี้ไม่เบื่อเลย เพราะต้องคิดตลอดเวลา เพราะสถานการณ์ที่บังคับ แต่รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยเพราะรู้สึกว่าฟังประเด็นความเห็นที่ไม่ตรงกับใจเรา และงานเดินไปช้า (เพื่อนกลุ่มข้างๆเสร็จก่อน ส่วนเรายังไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลยกดดัน) มีความสุข #ส่งการบ้านLDO

3) ความเชื่อใหม่ที่เกิดขึ้น

กิจกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ซับซ้อนเสมอไป เป็นอะไรง่ายๆให้เด็กได้เกิดองค์ความรู้เองก็ได้เล่นกัน

ภาพความสุขของสัปดาห์ #ส่งการบ้านLDO

Sunday, August 23, 2015

Teach for Thailand - Institute day 5

บันทึกการเดินทางตอนที่ 5: มูเซอลาบา ลาหุแดงกับลาหุดำต่างกันอย่างไร



เป็นอีกวันที่รอคอย ความคาดหวังสูงมาก กับการไปอยู่ Home Stay กับคนบนดอย นั่งรถตู้ไปได้ไม่นานพวกเราก็มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน เนื่องจากการวางผังหมู่บ้านห่างออกไปจากถนน ทำให้ต้องเดินลงเขาต่อลงไปอีก

กิจกรรม ณ หมู่บ้านมูเซอลาบาแห่งนี้ น่าสนใจ และได้เรียนรู้วิถีชีวิตตามสไตล์ Backpacker มีดังนี้

  • ดูงานหัตกรรมหลักของหมู่บ้านที่มีน้อยคนในหมู่บ้านจะทำได้ 
  • เยี่ยมโรงเรียนเด็กเล็กที่มีครูเพียงคนเดียว
  • ฟังเรื่องราวความเชื่อจากหมอผีประจำหมู่บ้านซึ่งมีเพียง 2 คนเท่านั้น
  • ทดลองสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กในหมู่บ้าน
  • รับประทานอาหารกับเจ้าของบ้าน
  • ดูและร่วมเต้นจะคึกับชาวบ้าน

สานตะกร้า
เริ่มจากการดูคุณลุงสานตะกร้าจากไม้ไผ่ ตะกร้านี้ไว้ใช้งานหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการเก็บเมล็ดกาแฟ เมล็ดแมคคาเดเมีย ใช้เป็นตะกร้าอุ้มเด็กก็ได้ เมื่อสานเสร็จจะนำไปเผาไฟไม้ไผ่จะแข็งและเหนี่ยวมากขึ้น คุณลุงที่สานตะกร้าอยู่ อยู่มานานมากเห็นการเปลี่ยนแปลงไป ของหมู่บ้านมากมาย (ถ้าอยากรู้อะไรตีสนิดกับคนเถ้าคนแก่เอาไว้ และหาล่ามเพราะเขาพูดไทยไม่ได้แต่ฟังออก)


ระหว่างดูลุงสานตะกล้าก็ได้โอกาสถาม "ลาหุแดงกับลาหุดำต่างกันอย่างไร" ก็ได้รับความกระจ่างว่า
ลาหุแดง นับถือบรรพบุรุษ ภูติผี เครื่องแต่งกายเน้นด้วยสีแดง (หมู่บ้านมูเซอลาบา)
ลาหุุดำ นับถือศาสนาคริสต์ เครื่องแต่งกายเน้นด้วยสีดำ


ท่อผ้า
เปลี่ยนมาดูคุณป้าทอผ้าบ้าง เครื่องแต่งกายที่เห็นนั้นเป็นชุดประจำชนเผ่า จะใส่เฉพาะวันสำคัญ หรือเมื่อมีแขกมาเยี่ยม เหมือนพวกเรา ชุดนึงตกราคาไม่ต่ำกว่า 7000 บาท และทุกคนจะมีอย่างน้อย 1 ชุดใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะทำเสร็จ คนที่สามารถทอได้มีเพียง 3-4 คนเท่านั้น

หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนของคนที่นี้ เขาบอกว่าเดือนนึงเขาใช้กันคนละแค่ 5000 บาทเท่านั้น ค่าไฟก็ไม่เสีย ส่วนน้ำก็ได้มาจากบนเขา สิ่งที่ซื้อก็เป็นพวกข้าวจากฝั่งพม่า เกลือ อาหารทะเล เป็นต้น

โรงเรียนเด็กเล็ก
โรงเรียนเด็กเล็ก ที่นี้มีครูอยู่เพียงคนเดียวต้องทำตั้งแต่ทำกับข้าว อาหารเช้าให้นักเรียนทาน เด็กนักเรียนเดินทางไม่ไกล เพราะบ้านพวกเขาก็อยู่รอบๆโรงเรียน สถานที่ค่อนข้างเปิด แต่เด็กก็ไม่หนีกลับบ้านเพราะกลับไปก็ไม่มีใครอยู่ พ่อแม่จะฝากลูกไว้ที่นี้และมารับกลับตอนเย็น

เด็กอายุเท่าไรก็เรียนด้วยกันหมด เป็นการสอนแบบบูรณาการ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือครูต้องสอน 2 ภาษาไทยสลับลาหุ ไม่งั้นเด็กจะไม่เข้าใจ เรียนรู้ผ่านเกมเป็นหลัก ของใช้เช่นแผ่นปูรองนอนให้เด็กนั้นไม่เพียงพอ เด็กจะหนาวมากตอนหน้าหนาว เผื่อใครสนใจอยากจะทำบุญช่วยเหลือ ก็แนะนำซื้อผ้าปูนอนไป

หมอผีประจำหมู่บ้าน
ฟังเรื่องราวจากหมอผีประจำหมู่บ้าน สวนตัวชอบตรงจุดนี้ที่สุด แลดูน่าค้นหาดี ในหมู่บ้านจะมีหมอผีเพียง 2 คนเท่านั้น จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ และจะการสืบทอดตำแหน่งกันทางสายเลือดเป็นหลัก หมอผีเกี่ยวข้องกับชีวิตคนในหมู่บ้าน ตั้งแต่เกิดจนวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อเด็กเกิดมา ผ่านไป 13 วันจะมีพิธี

เราก็ถามหมอผีกันว่า คนที่นี้เขามีหลักในการตั้งชื่อกันอย่างไร หมอผีก็บอกว่า ใช้ราศีและเดือนที่เกิดในการตั้งชื่อ ผมก็ได้ชื่อ "จะกา" มาสำหรับปีไก่ และผู้หญิงจะชื่อว่า "จะระกา"

พิธีกรรมก่อทราย
พิธีกรรมก่อทราย จะทำเพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตร ออกผลดี ในรูปเขาจะนำไม้ไผ่ มาจะช่องและนำใบไม้ หรือดอกไม้ของต้นที่ให้ผลผลิตที่เราปลูก มาแต่งไว้ตามกระบอกไม้ไผ่

นอกจากนี้หมอผียังมีหน้าที่ รักษาโลกด้วยหากมีใครป่วยก็จะไปหาหมอผีพร้อมกับไก่ 1 ตัว เมื่อทำการต้มกินกันเสร็จ เขาจะนำกระดูกไก่มาแล้วเอาไม้มาเสียบตามรูบนกระดูกไก่ พ่อหมอก็จะทำนาย ถ้าผลไม่ได้ก็จะล้มหมู เพื่อดูเครื่องในต่อ = =



มื้อกลางวันคนในหมู่บ้านเลี้ยงอาหารดีมาก เขาทำให้มากซะจนผมว่ามันเยอะเกินไปนะ แต่ก็ทำให้รู้สึกดี สัมผัสได้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่พวกเขาต้องการจะมอบให้กับพวกเรา

จัดกิจกรรมการเรียนรู้
ช่วงบ่ายเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับเด็กในชุมชน จะบอกว่ากิจกรรมนี้ทำให้ ผมรู้สึกล้มเหลวหลายๆอย่าง แต่มันกลับทำให้รู้สึกดีมาก และได้เรียนรู้อะไรจากตรงนี้เยอะมากเช่นกัน

กลุ่มผมได้เด็กวัยอนุบาลมา 6-7 คน สถานที่เปิดกว้าง ซึ่งผมก็ได้เห็นความเป็นผู้นำของเพื่อนในมุมที่แตกต่างกันไป บางคนขึ้นมานำทันทีในเวลาที่เพื่อนไม่พร้อม เพื่อซื้อเวลาให้กับทุกคน บางคนเสนอความคิดวางแผน บางคนมองเห็นสิ่งผิดปกติก่อนคนอื่น

พวกเรานำกิจกรรมที่ได้ร่ำเรียนมาจากมหาลัยมาใช้ และพบว่าเด็กฟังไม่ทัน ไม่เข้าใจทำให้เด็กรู้สึกเบื่อ จนมีช่วงหนึ่งที่เด็กวิ่งกระจายหายไปจนต้องแบ่งคนไปตาม จนถึงจุดหนึ่งที่ทุกอย่างอยู่ตัว เราก็ต้องเปลี่ยนสถานที่อีกแล้ว ผมสรุป Take away จากกิจกรรมได้ดังนี้
  1. ในฐานะที่เป็นผู้จัดการเรียนรู้ สำคัญมากที่เราจะรู้พื้นฐานของผู้เรียนก่อน ในสถานะการณ์นี้พวกเราพลาดที่ไม่ได้คำนึงถึงภาษาไทยที่เด็กวัยนี้ใช้ไม่คล่อง
  2. การคำนึงถึงวัตถุประสงค์ในการสอนนั้นสำคัญมาก ไม่เช่นั้นการจัดการอบรมจะเป็นไปตามยะถากรรม ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ไม่ใช่การสอน
  3. สภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง เป็นไปได้ยากมากที่จะจัดกิจกรรมในวงแคบให้กับเด็ก
เสร็จกิจกรรมจัดการเรียนรู้ พวกเราก็ได้เวลาพักผ่อน ที่พักของผมอยู่ติดกับ ป่า Slowlife กินอาหารขันโตกจากเจ้าของบ้าน เขาดูแลเราดีมากจริงๆ คนในบ้านพยายามแย้งที่จะอยู่ห้องพระกัน เพราะมันอุ่นใจดี 555

เต้นจะคึ
กิจกรรมยามค่ำคืน เต้นจะคึ ชาวบ้านเตรียมไม้ไผ่ ที่ผ่าช่องไว้ใส่เทียน ให้แสงสว่างเหมือนหลอดไฟริมถนน ชาวบ้านบางส่วนจะแต่งตัวในชุดพื้นเมือง ล้อมกันเป็นวงกลม ถ้าเราพร้อมเมื่อไรก็สามารถเข้าไปร่วมเต้นกับเขาได้

ท่าเต้นเหมือนเร็กเก้ผสมสกา เอิ่ม...อันนี้พูดเล่นนะครับ ก็จะเป็นการใช้สเตปเท้าเป็นหลัก ขวา ซ้าย ขวา ขวา ซ้าย อะไรก็ไม่รู้ผมก็งงมาก พอมานึกถึงเด็กที่เราต้องไปสอน เราก็นึกได้ว่าเรื่องที่เราคิดว่าธรรมดา แต่ถ้าเด็กไม่เคยเรียนเลย มันก็เข้าใจยากเหมือนกัน เหมือนกับตอนเรา เต้นจะคึ งงมากครับ...ได้แต่พยายามหันตัวตามไป แต่ขานิมั่วมากเลย หลังจากเต้นเสร็จเหงื่อไหล ก็มากินขนมที่ทำจากข้าวเหนี่ยว คล้ายๆโมจิจิ้มน้ำตาล อร่อยมากและเพิ่มน้ำตาลในเลือดอย่างรุนแรง 555

Saturday, August 22, 2015

Teach for Thailand - Institute day 4

บันทึกการเดินทางตอนที่ 4: ไปเดินป่ากันเถอะ


"การเดินทางเพื่อตามหาสมดุลของชีวิต"


และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง เดินป่าสิเดินป่ากัน 555 อยู่บนที่พักสูดกลิ่นอายของธรรมชาติไม่พอ เราเข้าไปเก็บเกี่ยวถึงในป่าเลย เป็นการเดินป่ากับเพื่อนที่สนุกที่สุด :)

เดินทางบนเส้นทางธรรมชาติครั้งนี้ ไม่ได้เดินผ่านไปเฉยๆ เรามี ภาระและกิจ ที่จะต้องทำให้สำเร็จ แต่จงอย่าลืมที่จะหยุดพัก ชื่นชมกับธรรมชาติที่อยู่รอบตัว เปิดโสตประสาททั้ง 5 (ถ้าใครจะมี 6 ก็ไม่ว่ากัน) แล้วก้าวเดินไปด้วยกัน

เริ่มเดินทางพวกเรามารอที่ทางเข้า เส้นทางเดินธรรมชาติ Level 0.5 ฟังบรรยาย จากทีมงานวิทยากรจบ ค่อยทะยอยกันเข้าไปทีละกลุ่ม รับภาระกิจและไปกันเลย

 ฐาน 1 ลอดช่องผ่านเส้นใยแมงมุม

"It seem impossible until it's done" เป็นข้อความที่เขียนอยู่บนใบไม้ (บนซ้ายของรูป) การช่วยเหลือผู้อื่น ความเสียสละ ของเพื่อนในทีม เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากในฐานนี้

ในสองปีของ TFT เราจะเจอกับความเป็นไปไม่ได้มากมาย ข้อจำกัดต่างๆนาๆ ทั้งเวลา เงิน แรง แต่เราไม่ได้เดินทางคนเดียว ยังมีเพื่อนพี่ก้าวไปด้วยกัน
 ฐาน 2.1 ตามหาไข่ Easter

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าตีความโจทย์ให้ดีก่อน แล้วค่อยออกเดิน พวกเราจับใจความเพียงไม่มีคำ ว่าต้นน้ำและไข่ Easter ที่ตีความไปไกลมากว่า ให้ไปทางทิศตะวันออก - -*

ชีวิตจริงในโรงเรียน ปัญหาแต่ละปัญหามีคำใบ้ซ้อนอยู่ เด็กมีปัญหาเกิดจากอะไร เรารู้จักตัวเขาและครอบครัวมากแค่ไหน การมีข้อมูลที่ครบทำให้แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง
ฐาน 2.2 หากเธอทุกข์ใจก็ลองเอาเท้าจุ่มน้ำ

การจะผ่านฐานนี้ไปได้ ทุกคนต้องลงไปถ่ายรูปตอนยืนอยู่บนน้ำ เราแต่ละคนคิดกันเยอะมาก ว่าจะทำอย่างไร ให้เท้าไม่เลอะหลังจากขึ้นมาซึ่งจริงๆแล้วก็ลงไปเถอะ ปัญหาเล็กน้อยแค่นี้ บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องหาทางแก้ไข
ระหว่างทาง บันไดคันดิน ถ้าคนก่อนหน้าเดินไม่ระวัง ลื่นไถล ทำให้ดินที่ทำไว้อย่างดีแตก จะทำให้คนข้างหลังเดินทางได้ลำบากมากขึ้น

คนภายนอกอยากให้เปลี่ยนการศึกษาไทยแบบ Change ที่นี้เราสอนให้เปลี่ยนแปลงแบบ Transform ทั้งนี้ทั้งนั้นการเปลี่ยนแปลง ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา ไม่เช่นนั้นบางสิ่งที่ดีอยู่แล้ว เรานั้นเองที่จะเป็นคนเข้าไปทำลาย ทำให้เลวร้ายลงไปอีก ทุกก้าวนั้นสำคัญจงเดินอย่างปราณีต
ฐาน 3 ถ่ายรูปคู่กับน้ำตก

ภาระกิจคือการถ่ายรูปคู่กับน้ำตก ตามแบบที่ให้มา จุดนี้เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในตลอดเส้นทาง บางกลุ่มถ่ายเสร็จแล้วรีบเดินหน้าไปต่อ เพราะกลัวว่าจะเหลือเวลาทำภาระกิจต่อไปน้อยลง

พวกเราถูกจำกัดด้วยระยะเวลา 2 ปี จริงอยู่ที่การมุ่งที่ผลกระทบ (Focus on impact) เป็น Core value ที่ทุกคนใน TFT ยึดถือ แต่ก็อย่าลืม หยุดพักชื่นชมความงามระหว่างทาง เป้าหมายสำคัญแต่ความสุขในชีวิตสำคัญยิ่งกว่า

มีคนเคยบอกผมว่า มนุษย์เราเกิดมาเพื่อมีความสุข ไม่ได้เกิดมาเพื่อ ชดใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้ในชาติปางก่อน อย่ายอมรับโชคชะตา สวรรค์ลิขิตลายมือของเรา แต่อย่าลืม ลายมือนั้นอยู่ในกำมือของเรา




พักทานข้าวกลางวัน ช่วงเวลาที่ลอยคอ เอ้ยรอคอย คนอื่นกินข้าวเหนี่ยวไก่ทอดกัน แต่ผมกินมังสวิรัส เลยโดนข้าวเหนี่ยวเห็ดทอดไป พร้อมไข่ต้มหนึ่งฟอง อร่อยมาก ไม่รู้เพราะหิวหรือมันอร่อยจริง


ก่อนจะลงมาที่กินข้าว เลงไว้แล้วว่าจะมาเล่นน้ำตก เพราะเห็น CEO มายืนอยู่น้ำตกที่อยู่ใบใกล้ที่กินข้าว พักผ่อน เที่ยวสนุกให้เต็มที่ มีเวลาหาความสุขเท่าไร ก็ใช้มันให้คุ้ม
ฐาน 4 สำรวจพื้นที่

ภาระกิจต่อไปคือการไปสำรวจ บ้านไม้ที่อยู่ระหว่างเส้นทาง ดูว่ามีสัตว์ที่เลี้ยงอยู่กี่ชนิด เจ้าของสวนนั้นชื่ออะไร เข้าไปฝึกฝนการสังเกต ในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคย ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ หากสังเกตให้ดีมันบอก อะไรเราหลายอย่าง
อย่างข้าวโพดที่อยู่ในรูป ไม่ได้ถูกใช้เป็นอาหารคนอย่างเดียว แต่ยังใช้เลี้ยงสัตว์ หมู ไก่ ดูได้จากร่องรอยก้านข้าวโพดที่อยู่ตามพื้น

คงเหมือนกันการไปเยี่ยมเยือนบ้านของนักเรียน โสดประสาททั้ง 5 ต้องไว สิ่งที่ดูธรรมดาอาจจะบอกอะไรเราได้หลายอย่าง



ฐาน 5 เจ้าชายกบ

ก็ไม่แน่ใจว่ามาทำอะไรแต่ก็สนุกดี เห็นแล้วอยากกินกบทอดกระเทียมพริกไทย = ="

เอามือรูบๆคลำๆกบเสร็จ เราก็เดินทางต่อไปยังจุดนัดพบบนสันเขื่อน กลับไปพักผ่อน คิดละครที่จะต้องแสดงในวันอังคาร



ทั้งหมดก็มีแค่นี้แล สนุกมากบอกเลย ตอนทำกิจกรรมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนเขียนพยายามแถให้มันมีอะไร 555 ขอบคุณพี่ Staff ทุกคนสำหรับกิจกรรมดีๆ และสีฟ้า Commitment อยากไปเที่ยวด้วยกันอีก มีความสุขและสนุกมาก :D