Sunday, August 23, 2015

Teach for Thailand - Institute day 5

บันทึกการเดินทางตอนที่ 5: มูเซอลาบา ลาหุแดงกับลาหุดำต่างกันอย่างไร



เป็นอีกวันที่รอคอย ความคาดหวังสูงมาก กับการไปอยู่ Home Stay กับคนบนดอย นั่งรถตู้ไปได้ไม่นานพวกเราก็มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน เนื่องจากการวางผังหมู่บ้านห่างออกไปจากถนน ทำให้ต้องเดินลงเขาต่อลงไปอีก

กิจกรรม ณ หมู่บ้านมูเซอลาบาแห่งนี้ น่าสนใจ และได้เรียนรู้วิถีชีวิตตามสไตล์ Backpacker มีดังนี้

  • ดูงานหัตกรรมหลักของหมู่บ้านที่มีน้อยคนในหมู่บ้านจะทำได้ 
  • เยี่ยมโรงเรียนเด็กเล็กที่มีครูเพียงคนเดียว
  • ฟังเรื่องราวความเชื่อจากหมอผีประจำหมู่บ้านซึ่งมีเพียง 2 คนเท่านั้น
  • ทดลองสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กในหมู่บ้าน
  • รับประทานอาหารกับเจ้าของบ้าน
  • ดูและร่วมเต้นจะคึกับชาวบ้าน

สานตะกร้า
เริ่มจากการดูคุณลุงสานตะกร้าจากไม้ไผ่ ตะกร้านี้ไว้ใช้งานหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการเก็บเมล็ดกาแฟ เมล็ดแมคคาเดเมีย ใช้เป็นตะกร้าอุ้มเด็กก็ได้ เมื่อสานเสร็จจะนำไปเผาไฟไม้ไผ่จะแข็งและเหนี่ยวมากขึ้น คุณลุงที่สานตะกร้าอยู่ อยู่มานานมากเห็นการเปลี่ยนแปลงไป ของหมู่บ้านมากมาย (ถ้าอยากรู้อะไรตีสนิดกับคนเถ้าคนแก่เอาไว้ และหาล่ามเพราะเขาพูดไทยไม่ได้แต่ฟังออก)


ระหว่างดูลุงสานตะกล้าก็ได้โอกาสถาม "ลาหุแดงกับลาหุดำต่างกันอย่างไร" ก็ได้รับความกระจ่างว่า
ลาหุแดง นับถือบรรพบุรุษ ภูติผี เครื่องแต่งกายเน้นด้วยสีแดง (หมู่บ้านมูเซอลาบา)
ลาหุุดำ นับถือศาสนาคริสต์ เครื่องแต่งกายเน้นด้วยสีดำ


ท่อผ้า
เปลี่ยนมาดูคุณป้าทอผ้าบ้าง เครื่องแต่งกายที่เห็นนั้นเป็นชุดประจำชนเผ่า จะใส่เฉพาะวันสำคัญ หรือเมื่อมีแขกมาเยี่ยม เหมือนพวกเรา ชุดนึงตกราคาไม่ต่ำกว่า 7000 บาท และทุกคนจะมีอย่างน้อย 1 ชุดใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะทำเสร็จ คนที่สามารถทอได้มีเพียง 3-4 คนเท่านั้น

หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนของคนที่นี้ เขาบอกว่าเดือนนึงเขาใช้กันคนละแค่ 5000 บาทเท่านั้น ค่าไฟก็ไม่เสีย ส่วนน้ำก็ได้มาจากบนเขา สิ่งที่ซื้อก็เป็นพวกข้าวจากฝั่งพม่า เกลือ อาหารทะเล เป็นต้น

โรงเรียนเด็กเล็ก
โรงเรียนเด็กเล็ก ที่นี้มีครูอยู่เพียงคนเดียวต้องทำตั้งแต่ทำกับข้าว อาหารเช้าให้นักเรียนทาน เด็กนักเรียนเดินทางไม่ไกล เพราะบ้านพวกเขาก็อยู่รอบๆโรงเรียน สถานที่ค่อนข้างเปิด แต่เด็กก็ไม่หนีกลับบ้านเพราะกลับไปก็ไม่มีใครอยู่ พ่อแม่จะฝากลูกไว้ที่นี้และมารับกลับตอนเย็น

เด็กอายุเท่าไรก็เรียนด้วยกันหมด เป็นการสอนแบบบูรณาการ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือครูต้องสอน 2 ภาษาไทยสลับลาหุ ไม่งั้นเด็กจะไม่เข้าใจ เรียนรู้ผ่านเกมเป็นหลัก ของใช้เช่นแผ่นปูรองนอนให้เด็กนั้นไม่เพียงพอ เด็กจะหนาวมากตอนหน้าหนาว เผื่อใครสนใจอยากจะทำบุญช่วยเหลือ ก็แนะนำซื้อผ้าปูนอนไป

หมอผีประจำหมู่บ้าน
ฟังเรื่องราวจากหมอผีประจำหมู่บ้าน สวนตัวชอบตรงจุดนี้ที่สุด แลดูน่าค้นหาดี ในหมู่บ้านจะมีหมอผีเพียง 2 คนเท่านั้น จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ และจะการสืบทอดตำแหน่งกันทางสายเลือดเป็นหลัก หมอผีเกี่ยวข้องกับชีวิตคนในหมู่บ้าน ตั้งแต่เกิดจนวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อเด็กเกิดมา ผ่านไป 13 วันจะมีพิธี

เราก็ถามหมอผีกันว่า คนที่นี้เขามีหลักในการตั้งชื่อกันอย่างไร หมอผีก็บอกว่า ใช้ราศีและเดือนที่เกิดในการตั้งชื่อ ผมก็ได้ชื่อ "จะกา" มาสำหรับปีไก่ และผู้หญิงจะชื่อว่า "จะระกา"

พิธีกรรมก่อทราย
พิธีกรรมก่อทราย จะทำเพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตร ออกผลดี ในรูปเขาจะนำไม้ไผ่ มาจะช่องและนำใบไม้ หรือดอกไม้ของต้นที่ให้ผลผลิตที่เราปลูก มาแต่งไว้ตามกระบอกไม้ไผ่

นอกจากนี้หมอผียังมีหน้าที่ รักษาโลกด้วยหากมีใครป่วยก็จะไปหาหมอผีพร้อมกับไก่ 1 ตัว เมื่อทำการต้มกินกันเสร็จ เขาจะนำกระดูกไก่มาแล้วเอาไม้มาเสียบตามรูบนกระดูกไก่ พ่อหมอก็จะทำนาย ถ้าผลไม่ได้ก็จะล้มหมู เพื่อดูเครื่องในต่อ = =



มื้อกลางวันคนในหมู่บ้านเลี้ยงอาหารดีมาก เขาทำให้มากซะจนผมว่ามันเยอะเกินไปนะ แต่ก็ทำให้รู้สึกดี สัมผัสได้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่พวกเขาต้องการจะมอบให้กับพวกเรา

จัดกิจกรรมการเรียนรู้
ช่วงบ่ายเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับเด็กในชุมชน จะบอกว่ากิจกรรมนี้ทำให้ ผมรู้สึกล้มเหลวหลายๆอย่าง แต่มันกลับทำให้รู้สึกดีมาก และได้เรียนรู้อะไรจากตรงนี้เยอะมากเช่นกัน

กลุ่มผมได้เด็กวัยอนุบาลมา 6-7 คน สถานที่เปิดกว้าง ซึ่งผมก็ได้เห็นความเป็นผู้นำของเพื่อนในมุมที่แตกต่างกันไป บางคนขึ้นมานำทันทีในเวลาที่เพื่อนไม่พร้อม เพื่อซื้อเวลาให้กับทุกคน บางคนเสนอความคิดวางแผน บางคนมองเห็นสิ่งผิดปกติก่อนคนอื่น

พวกเรานำกิจกรรมที่ได้ร่ำเรียนมาจากมหาลัยมาใช้ และพบว่าเด็กฟังไม่ทัน ไม่เข้าใจทำให้เด็กรู้สึกเบื่อ จนมีช่วงหนึ่งที่เด็กวิ่งกระจายหายไปจนต้องแบ่งคนไปตาม จนถึงจุดหนึ่งที่ทุกอย่างอยู่ตัว เราก็ต้องเปลี่ยนสถานที่อีกแล้ว ผมสรุป Take away จากกิจกรรมได้ดังนี้
  1. ในฐานะที่เป็นผู้จัดการเรียนรู้ สำคัญมากที่เราจะรู้พื้นฐานของผู้เรียนก่อน ในสถานะการณ์นี้พวกเราพลาดที่ไม่ได้คำนึงถึงภาษาไทยที่เด็กวัยนี้ใช้ไม่คล่อง
  2. การคำนึงถึงวัตถุประสงค์ในการสอนนั้นสำคัญมาก ไม่เช่นั้นการจัดการอบรมจะเป็นไปตามยะถากรรม ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ไม่ใช่การสอน
  3. สภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง เป็นไปได้ยากมากที่จะจัดกิจกรรมในวงแคบให้กับเด็ก
เสร็จกิจกรรมจัดการเรียนรู้ พวกเราก็ได้เวลาพักผ่อน ที่พักของผมอยู่ติดกับ ป่า Slowlife กินอาหารขันโตกจากเจ้าของบ้าน เขาดูแลเราดีมากจริงๆ คนในบ้านพยายามแย้งที่จะอยู่ห้องพระกัน เพราะมันอุ่นใจดี 555

เต้นจะคึ
กิจกรรมยามค่ำคืน เต้นจะคึ ชาวบ้านเตรียมไม้ไผ่ ที่ผ่าช่องไว้ใส่เทียน ให้แสงสว่างเหมือนหลอดไฟริมถนน ชาวบ้านบางส่วนจะแต่งตัวในชุดพื้นเมือง ล้อมกันเป็นวงกลม ถ้าเราพร้อมเมื่อไรก็สามารถเข้าไปร่วมเต้นกับเขาได้

ท่าเต้นเหมือนเร็กเก้ผสมสกา เอิ่ม...อันนี้พูดเล่นนะครับ ก็จะเป็นการใช้สเตปเท้าเป็นหลัก ขวา ซ้าย ขวา ขวา ซ้าย อะไรก็ไม่รู้ผมก็งงมาก พอมานึกถึงเด็กที่เราต้องไปสอน เราก็นึกได้ว่าเรื่องที่เราคิดว่าธรรมดา แต่ถ้าเด็กไม่เคยเรียนเลย มันก็เข้าใจยากเหมือนกัน เหมือนกับตอนเรา เต้นจะคึ งงมากครับ...ได้แต่พยายามหันตัวตามไป แต่ขานิมั่วมากเลย หลังจากเต้นเสร็จเหงื่อไหล ก็มากินขนมที่ทำจากข้าวเหนี่ยว คล้ายๆโมจิจิ้มน้ำตาล อร่อยมากและเพิ่มน้ำตาลในเลือดอย่างรุนแรง 555

Saturday, August 22, 2015

Teach for Thailand - Institute day 4

บันทึกการเดินทางตอนที่ 4: ไปเดินป่ากันเถอะ


"การเดินทางเพื่อตามหาสมดุลของชีวิต"


และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง เดินป่าสิเดินป่ากัน 555 อยู่บนที่พักสูดกลิ่นอายของธรรมชาติไม่พอ เราเข้าไปเก็บเกี่ยวถึงในป่าเลย เป็นการเดินป่ากับเพื่อนที่สนุกที่สุด :)

เดินทางบนเส้นทางธรรมชาติครั้งนี้ ไม่ได้เดินผ่านไปเฉยๆ เรามี ภาระและกิจ ที่จะต้องทำให้สำเร็จ แต่จงอย่าลืมที่จะหยุดพัก ชื่นชมกับธรรมชาติที่อยู่รอบตัว เปิดโสตประสาททั้ง 5 (ถ้าใครจะมี 6 ก็ไม่ว่ากัน) แล้วก้าวเดินไปด้วยกัน

เริ่มเดินทางพวกเรามารอที่ทางเข้า เส้นทางเดินธรรมชาติ Level 0.5 ฟังบรรยาย จากทีมงานวิทยากรจบ ค่อยทะยอยกันเข้าไปทีละกลุ่ม รับภาระกิจและไปกันเลย

 ฐาน 1 ลอดช่องผ่านเส้นใยแมงมุม

"It seem impossible until it's done" เป็นข้อความที่เขียนอยู่บนใบไม้ (บนซ้ายของรูป) การช่วยเหลือผู้อื่น ความเสียสละ ของเพื่อนในทีม เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากในฐานนี้

ในสองปีของ TFT เราจะเจอกับความเป็นไปไม่ได้มากมาย ข้อจำกัดต่างๆนาๆ ทั้งเวลา เงิน แรง แต่เราไม่ได้เดินทางคนเดียว ยังมีเพื่อนพี่ก้าวไปด้วยกัน
 ฐาน 2.1 ตามหาไข่ Easter

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าตีความโจทย์ให้ดีก่อน แล้วค่อยออกเดิน พวกเราจับใจความเพียงไม่มีคำ ว่าต้นน้ำและไข่ Easter ที่ตีความไปไกลมากว่า ให้ไปทางทิศตะวันออก - -*

ชีวิตจริงในโรงเรียน ปัญหาแต่ละปัญหามีคำใบ้ซ้อนอยู่ เด็กมีปัญหาเกิดจากอะไร เรารู้จักตัวเขาและครอบครัวมากแค่ไหน การมีข้อมูลที่ครบทำให้แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง
ฐาน 2.2 หากเธอทุกข์ใจก็ลองเอาเท้าจุ่มน้ำ

การจะผ่านฐานนี้ไปได้ ทุกคนต้องลงไปถ่ายรูปตอนยืนอยู่บนน้ำ เราแต่ละคนคิดกันเยอะมาก ว่าจะทำอย่างไร ให้เท้าไม่เลอะหลังจากขึ้นมาซึ่งจริงๆแล้วก็ลงไปเถอะ ปัญหาเล็กน้อยแค่นี้ บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องหาทางแก้ไข
ระหว่างทาง บันไดคันดิน ถ้าคนก่อนหน้าเดินไม่ระวัง ลื่นไถล ทำให้ดินที่ทำไว้อย่างดีแตก จะทำให้คนข้างหลังเดินทางได้ลำบากมากขึ้น

คนภายนอกอยากให้เปลี่ยนการศึกษาไทยแบบ Change ที่นี้เราสอนให้เปลี่ยนแปลงแบบ Transform ทั้งนี้ทั้งนั้นการเปลี่ยนแปลง ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา ไม่เช่นนั้นบางสิ่งที่ดีอยู่แล้ว เรานั้นเองที่จะเป็นคนเข้าไปทำลาย ทำให้เลวร้ายลงไปอีก ทุกก้าวนั้นสำคัญจงเดินอย่างปราณีต
ฐาน 3 ถ่ายรูปคู่กับน้ำตก

ภาระกิจคือการถ่ายรูปคู่กับน้ำตก ตามแบบที่ให้มา จุดนี้เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในตลอดเส้นทาง บางกลุ่มถ่ายเสร็จแล้วรีบเดินหน้าไปต่อ เพราะกลัวว่าจะเหลือเวลาทำภาระกิจต่อไปน้อยลง

พวกเราถูกจำกัดด้วยระยะเวลา 2 ปี จริงอยู่ที่การมุ่งที่ผลกระทบ (Focus on impact) เป็น Core value ที่ทุกคนใน TFT ยึดถือ แต่ก็อย่าลืม หยุดพักชื่นชมความงามระหว่างทาง เป้าหมายสำคัญแต่ความสุขในชีวิตสำคัญยิ่งกว่า

มีคนเคยบอกผมว่า มนุษย์เราเกิดมาเพื่อมีความสุข ไม่ได้เกิดมาเพื่อ ชดใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้ในชาติปางก่อน อย่ายอมรับโชคชะตา สวรรค์ลิขิตลายมือของเรา แต่อย่าลืม ลายมือนั้นอยู่ในกำมือของเรา




พักทานข้าวกลางวัน ช่วงเวลาที่ลอยคอ เอ้ยรอคอย คนอื่นกินข้าวเหนี่ยวไก่ทอดกัน แต่ผมกินมังสวิรัส เลยโดนข้าวเหนี่ยวเห็ดทอดไป พร้อมไข่ต้มหนึ่งฟอง อร่อยมาก ไม่รู้เพราะหิวหรือมันอร่อยจริง


ก่อนจะลงมาที่กินข้าว เลงไว้แล้วว่าจะมาเล่นน้ำตก เพราะเห็น CEO มายืนอยู่น้ำตกที่อยู่ใบใกล้ที่กินข้าว พักผ่อน เที่ยวสนุกให้เต็มที่ มีเวลาหาความสุขเท่าไร ก็ใช้มันให้คุ้ม
ฐาน 4 สำรวจพื้นที่

ภาระกิจต่อไปคือการไปสำรวจ บ้านไม้ที่อยู่ระหว่างเส้นทาง ดูว่ามีสัตว์ที่เลี้ยงอยู่กี่ชนิด เจ้าของสวนนั้นชื่ออะไร เข้าไปฝึกฝนการสังเกต ในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคย ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ หากสังเกตให้ดีมันบอก อะไรเราหลายอย่าง
อย่างข้าวโพดที่อยู่ในรูป ไม่ได้ถูกใช้เป็นอาหารคนอย่างเดียว แต่ยังใช้เลี้ยงสัตว์ หมู ไก่ ดูได้จากร่องรอยก้านข้าวโพดที่อยู่ตามพื้น

คงเหมือนกันการไปเยี่ยมเยือนบ้านของนักเรียน โสดประสาททั้ง 5 ต้องไว สิ่งที่ดูธรรมดาอาจจะบอกอะไรเราได้หลายอย่าง



ฐาน 5 เจ้าชายกบ

ก็ไม่แน่ใจว่ามาทำอะไรแต่ก็สนุกดี เห็นแล้วอยากกินกบทอดกระเทียมพริกไทย = ="

เอามือรูบๆคลำๆกบเสร็จ เราก็เดินทางต่อไปยังจุดนัดพบบนสันเขื่อน กลับไปพักผ่อน คิดละครที่จะต้องแสดงในวันอังคาร



ทั้งหมดก็มีแค่นี้แล สนุกมากบอกเลย ตอนทำกิจกรรมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนเขียนพยายามแถให้มันมีอะไร 555 ขอบคุณพี่ Staff ทุกคนสำหรับกิจกรรมดีๆ และสีฟ้า Commitment อยากไปเที่ยวด้วยกันอีก มีความสุขและสนุกมาก :D

Friday, August 21, 2015

Teach for Thailand - Institute day 3

บันทึกการเดินทางตอนที่ 3: ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักผอ.

อ่านบทความตอนที่แล้ว Teach-for-Thailand-institute-day-2



ทำไม Teach for Thailand ไปสอนเด็กในกรุงเทพ แต่ไม่ไปสอนบนดอย มีคนที่เคยเดินทางไปสอนเด็กบนดอย เล่าให้ผมฟังว่า "เราไม่ได้ขึ้นไปเพื่อเติมเต็มให้พวกเขา พวกเขาต่างหากที่เติมเต็มคนเมืองอย่างพวกเรา"

ในการเดินทางครั้งนี้เราจะได้พบกับ สองผอ. ที่น่าอัศจรรย์ใจถึงสองท่านด้วยกัน ในสองโรงเรียน ที่มีสองขนาดต่างกัน โรงเรียนขาแหย่งพัฒนา และโรงเรียนห้วยไร้สามัคคี ระวังไว้แล้วคุณจะหลงรักสถานที่แห่งนี้ "ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักผอ." ผมอยากให้คนที่เป็นคุณครูใหม่ พ่อแม่ที่ต้องสอนลูก และทุกคน ได้ขึ้นไปเห็นสองโรงเรียนนี้ ได้พูดคุยกับผอ. มันเปิดโลกด้านการเรียนรู้ได้มากจริงๆ

สา-หวัดดีครับพี่ ป.5 สา-หวัดดีครับน้องๆทุกคน

เดินทางไม่ไกลจากที่พักด้วยรถตู้ เราก็มาถึงโรงเรียนขาแหย่งพัฒนา เราขึ้นมาเช้าเพื่อให้ทันเห็นเด็กเคารพธงชาติในตอนเช้า ขอเกริ่นให้เห็นภาพซักเล็กน้อย เด็กที่มาโรงเรียนนี้มาจากชนเผ่าที่แตกต่างกัน ซึ่งใช้ภาษาไม่เหมือนกัน และเด็กที่เข้ามาใหม่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารกับชนเผ่าเล็กน้อย

เด็กเหล่านี้เมื่อเติบโตขึ้น อาจจะต้องเข้าไปทำงานในเมือง เมื่อก่อนจะเป็นปัญหามากเพราะพวกเขาพูดภาษาไทยไม่ได้ และคนเมืองมองว่าคนบนดอยนั้นเนื้อตัวสกปรก โรงเรียนขาแหย่งก็มีรูปแบบการสอน เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้

เด็กๆจะนั่งล้อมเป็นวงกลม ตั้งใจเรียน กล้าแสดงออกถึงความอยากเรียนสูงมาก

บอกได้เลยว่าเกินคาดและน่าประทับใจมากสำหรับโรงเรียนนี้ โดยเฉพาะ ระบบการสอนแบบ Montessori ในเด็กระดับชั้นอนุบาล ใช้ชั้นเรียนเด็กอนุบาล 1-3 จะเรียนในชั้นเดียวกัน รุ่นน้องจะเห็นแบบอย่างจากรุ่นพี่ รุ่นพี่จะเป็นแบบอย่างที่ดีและคอยช่วยสอนรุ่นน้อง

เขามาถึงห้องคุณครูให้นักเรียนทำสมาธิ โดยการให้ทำท่าตามเพลงช้า ก่อนที่จะหลับตาเข้าสู่สมาธิ ซึ่งเหมือนกับที่ผมไปปฏิบัติธรรมเลย เราไม่ได้อยู่ดีๆเข้ามานั่งสมาธิเลย มีการเดินจงกลมก่อนนั่งสมาธิ สาเหตุที่ให้นักเรียนนั่งสมาธิก่อนเริ่มเรียนเขาบอกว่า ตอนเช้าเด็กเล่นมาเยอะมาก จึงใช้กิจกรรมนี้ให้พวกเขาสงบลง เด็กในวัยนีเก่งมากที่นิ่งได้ขนาดนี้

คุณครูเริ่มจากให้เด็กไปหยิบชื่อเพื่อน ที่เป็นภาษาอังกฤษ ไปวางไว้หน้าเพื่อน แล้ววิ่งไปหยิบตัวอักษรมา 1 ตัวที่แขวนอยู่ในห้อง เขาสอนภาษาอังกฤษเด็กได้น่าสนใจมาก ที่นี้ไม่ได้สอนให้เด็กท่อง A-Z แต่ให้เด็กรู้จักเสียงของแต่ละตัวอักษรแทน เช่น "P" ออกเสียงว่า "พะ" "E" ออกเสียงว่า "เอะ" ซึ่งมัน Make sense มากเลยเพราะว่า ถึงรู้ว่าตัวอักษรชื่ออะไรก็ไม่ได้ช่วยให้ออกเสียงได้

หลังจากครูสอนภาษาอังกฤษแล้ว ครูก็ในนักเรียนท่อง 1-10 ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาลาบา(ภาษาชนเผ่า) ภาษาจีน โอ้แม่เจ้าจะเก่งไปไหนจบไปพูดได้ 4 ภาษา ถึงตรงนี้ผมขอขั้นรายการซักแปบนีง ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังคงดูถูกพม่า ดูถูกคนเขมรอยู่ ซึ่งคนเหล่านี้กำลังแย่งอาชีพจากคนไทยไป เพราะพวกเขารู้ภาษาไทยเช่นกัน เรื่องภาษาเป็นสิ่งที่สำคัญ

ก่อนจะปล่อยให้เด็กไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง หรือเรียนแบบ Montessori ครูก็นำของเล่นสอนการหั่นแตงกวา มาสอนเด็กๆ ของเล่นเพื่อการเรียนรู้ในห้องนี้มีเยอะมาก และแทบทั้งหมดทำจากไม้ เพื่อความทนทานใช้ได้นาน ถึงแม้จะแพงก็ตาม

ตารางสำหรับสอนการบวกลบเลข
ถ้ามีเวลาผมว่าจะศึกษากระบวนการคิด ที่ของเล่นต่างๆสอนให้เด็ก โดยเฉพาะเลข ในฐานะที่เคยเป็นอาสาสมัครสอนเด็กในต่างจังหวัด จะผลว่าหลายๆคนมีปัญหาเรื่องการ บวก ลบ คูณ หาร เลขมากๆ มีเพื่อนผมข้างๆบอกว่านี้เป็นคำตอบ ที่เธอพยายามตามหาตาโดยตลอด การสอนเลขโดยให้เด็กคิดในใจ อาจจะไม่ถูกต้อง ผมไม่เคยนึกเลยว่าการคิดในใจสำหรับเด็ก มันเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับพวกเขา ของเล่นหลายชิ้นทำให้เลขเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ซึ่งผมชอบมันมากๆ


ของเล่นสอนการใช้ตัวล็อคพลาสติก
เรื่องทักษะในการใช้ชีวิตประจำวันก็สำคัญเช่นกัน งานบางอย่างเช่นการติดกระดุม อาจจะรู้สึกว่าง่ายในความคิดของเรา แต่มันยากมากถ้าเรามองในมุมของ เด็กตัวเล็กๆที่ไม่ได้มีแรงมากนัก ถ้าเป็นตัวล็อคพลาสติกถือได้ว่าท้าทายมากๆ เมื่อเด็กเหล่านี้มีทักษะในด้านต่างๆเพิ่มขึ้น เขาก็จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองได้อีกด้วย ผมยังจำได้ในวัยเด็กผมใช้เวลานานมาก ในการสังเกต ว่าแม่ผูกเชือกรองเท้ายังไงให้ผม แม่ไม่เคยสอนว่ามันผูกอย่างไร แต่ผมก็เรียนรู้ได้เองและวันหนึ่งก็ผูกได้สำเร็จ เด็กมีศักยภาพสูงมาก อยู่ที่สภาพแวดล้อมจะเอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็กหรือเปล่าเท่านั้น พูดแล้วควรจะกลับไปอ่าน "วิชาความคิดที่คุ้มค่าหน่วยกิตที่สุดในโลก" อีกรอบน่าจะดี

ห้องถัดมาคือห้องเด็กพิเศษ เด็กในห้องนี้เรียนไม่ทันเพื่อนในชั้นเรียน ถ้าเป็นโรงเรียนอื่นๆจะปล่อยให้พวกเขาอยู่ในระบบเดิม บางคนก็เรียนไม่ได้ลาออกไป สิ่งที่ครูสอนในห้องนี้คือการทำโครงงาน เด็กที่ไม่เก่งด้านวิชาการ ใช่ว่าจะไร้ความสามารถ หลายๆคนเก่งในทักษะที่ประกอบอาชีพได้เช่น เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา ปลูกต้นไม้

คุณครูจะสอนจาก Why เหตุผลที่พวกเขาจะต้องไปเลี้ยงหมู ทำเป็น Mind map ออกมาโดยให้พวกเขาคิดเอง For what เลี้ยงหมูไปเพื่ออะไร และพวกเขาจะเรียนรู้กระบวนการเลี้ยงหมู และเน้นการสอนภาษาไทย คณิตศาสตร์

ครูในห้องก็สอนพวกเราว่า สิ่งที่ครูส่วนใหญ่มักทำผิดพลาดก็คือ การตกเป็นทาสของตำรา เอาตำรามาสอนแทนที่จะสอนความจริง การสอนให้ใช้คำถามนำ การเขียนวันที่ ขีดเส้นใต้ ให้พวกเขาคิดเองว่าจะเขียนอย่างไร ต้องรู้เอง ไม่มีถูกไม่มีผิด



ต่อมาที่ห้องภาษาไทย ก่อนเริ่มเรียนจะมีการ Warm สมองด้วยการใช้มือทำท่าตามเพลง จนถึงวันนี้ผมก็ยังทำตามไม่ได้ซะที ในห้องเรียนใช้สื่อต่างๆช่วยในการสอน และเห็นได้ชัดเลยคือสภาพแวดล้อมในห้อง แหล่งความรู้มีเต็มไปหมด

จากการสังเกตห้องทั้งสามห้อง มันทำให้ผมนึกย้อนกลับไป เห็นถึงความผิดพลาดต่างๆมากมาย ในการสอนต่างๆ ยังมีสิ่งที่ต้องฝึกฝนอีกมากมาย



ก่อนจากโรงเรียนขาแหย่ง พวกเราได้มีโอกาสคุยกับผอ. ที่คิดต่างทำเพื่อเด็กอย่างแท้จริงมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ ผมขอแยกไว้ดังนี้

  1. เรื่องสภาพแวดล้อม ในโรงเรียนจะพยายามทำสภาพแวดล้อมให้เหมือน สภาพแวดล้อมภายนอกโรงเรียนให้มากที่สุด 
    1. สิ่งแรกที่ผอ. ยกเลิกคือ ถาดหลุม ในชีวิตจริงแทบจะไม่มีที่ไหนเลยที่มีถาดหลุม นอกจากทหารและเราไม่ใช้ทหาร 
    2. สิ่งต่อมาคือยกเลิกการที่แม่ครัวตักอาหารให้ เพราะเหมือนสภาพแวดล้อมของลูกจ้าง ที่ต่อแถวรับอาหาร 
    3. เด็กต้องล้างจานเองตั้งแต่อนุบาล
    4. สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดีให้กับเด็ก แต่ต้องระวังที่อย่าติดกับการอยู่ห้องเรียนมากเกินไป (ห้องที่นั่งเรียนไม่ได้เหมาะกับการนั่งเรียนนาน เพราะมีไว้ให้ ยืน เดิน นั่ง นอน)
  2. ผอ. เป็นคนที่ดีมาก แต่ก็เคยทำผิดพลาดจากสิ่งนี้ โรงเรียนที่ผอ. ได้เคยไปดูแลมาก่อนหน้าที่จะมาอยู่ที่นี้ เขาทำเองทุกอย่าง ทุกงานที่มีในโรงเรียน คนที่นั้นรักผอ. มากแต่ในวันที่ผอ. จากไป (หมายถึงย้ายโรงเรียนไป) เหมือนเราทำร้ายพวกเขา เพราะพวกเขาทำอะไรไม่เป็นเลย จงอย่าทำงานเองทุกอย่างเองทั้งหมด สอนงานคนอื่นให้ทำหน้าที่แทนเราได้ และพร้อมในวันที่เราจากไป
  3. การทำงานใน TFT 2 ปีเราจะต้องเจอกับข้อจำกัดมากมาย ทรัพยากรทั้งเงินและเวลา ในความเป็นจริงถึงมีเงินมากเท่าไรก็ไม่เพียงพอ หากขาดการบริหารจัดการที่เหมาะสม
สุดท้าย ผอ. ฝากเบอร์โทรไว้ด้วยใครอยากได้ก็หลังไมค์นะครับ 555 ชอบผอ.คนนี้จัง

พักครึ่ง

ช่วงบ่ายพวกเราเดินทางไปต่อที่โรงเรียนห้วยไร้สามัคคี ผมมาถึงก็เข้าไปฟังบรรยาย Introduction จากผอ.โรงเรียนห้วยไร้สามัคคี (ผอ. หน้าเด็กมาก นึกว่าเป็นรองผอ.)ช่วงนี้ผมหลับ 555 ผอ. ก็สอนพวกเราเกี่ยวกับวิธีการเข้าไปสังเกตห้องเรียน ว่าพวกเราต้องดูอะไรบ้าง จดอย่างไร ก่อนจะออกไป ผอ. ได้ทิ้งปริศนาเกี่ยวกับ ธงชาติในหอประชุม ตู้หนังสือท้ายหอประชุม ป้ายชื่อที่อยู่ที่พื้นหอประชุม ซึ่งจะมาตอบในตอนท้าย

ขนมอร่อยมากอยากกินอีก อิอิ
กลับมาถึงก็มาทานขนมอร่อยมาก reflection กันว่าแต่ละคนไปดูห้องมาเป็นอย่างไรบ้าง พอดีห้องที่ผมไปสังเกต จัดการเรียนการสอนแบบปกติ สอนตาม Slide เลยไม่ได้มีประเด็นอะไรมากนัก เป็นการเรียนรู้แบบ Teacher center คือยึดหลักครูเป็นคนเลือกความรู้ที่จะมอบให้

แต่ก็มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่ได้มีโอกาส เข้าไปสอนแทนครูในวิชานั้นเพราะครูไม่มาสอน และได้เก็บ Feedback ครูที่พวกเขาอยากเรียนด้วยเป็นอย่างไร บอกกระดาษให้พร้อมสายตาเหมือนบอกกับพี่ที่อยู่ในห้องนั้นเลยว่า "พี่ครับ/ค่ะ พี่เป็นครูแบบนี้นะ"

สุดท้ายผอ.ที่นี้สอนอะไรพวกเราไว้เยอะมาก ผอ.แสดงให้เห็นว่าเขาศึกษาเยอะมาก ตอบคำถามของ Fellows ด้วยข้อมูลที่มีจริง ขอแยกเป็นข้อๆอีกเช่นเคยมีดังต่อไปนี้

  1. ผอ. พูดถึงคำสองคำคือ Big idea และ Concept ท่านถามเราว่า 
    1. ครูไทยเอารูปความมาให้นักเรียนดู และบอกว่านี้คือควาย ใช่ Concept ไหม?
    2. ครูเวียดนามจูงความมาในนักเรียนเห็น และบอกว่านี้คือควาย ใช่ Concept ไหม?
    3. มีรูปสัตว์มากมายและให้เด็กคัดแยกกลุ่ม และสอนว่าหนึ่งในนั้นคือควาย ใช่ Concept ไหม? ข้อ 1,2 คือ Big idea ข้อ 3 คือ Concept เข้าใจไหมครับ 555
  2. ปริศนาภายในหอประชุม จะเห็นความน่าทึ่งว่าเวลาเคารพธงชาติเราทำอะไรได้เยอะขนาดนี้เลยหรือ? เป็นอย่างไรลองอ่านดูตามลำดับเวลาต่อไปนี้
    1. ธงชาติที่อยู่ในหอประชุม จริงๆแล้วคือการเคารพธงชาติในร่ม นักเรียนทุกคนจะต้องมายืนที่ป้ายชื่อ ที่มีชื่อ เบอร์ติดต่อผู้ปกครองเรียบร้อย ใครหายไปก็สามารถโทรตามได้เลย 
    2. ที่นี้มีหนังสืออยู่ด้านหลัง ผอ. จะอ่านหนังสือเป็นตัวอย่างให้เด็กดูระหว่างรอเข้าแถวเสมอ เด็กจะรักการอ่านเอง และเกรงใจไม่ส่งเสียงดัง รบกวน
    3. หลังเคารพธงชาติจะมีนักเรียนมาเล่นกีต้าเป็นเพลง เพื่อขอบคุณพระเจ้า (ที่นี้นับถือศาสนาคริสต์)
    4. หลังจากนั้นจะนั่งสมาธิ ให้เด็กกำหนดจิตไล่แสงไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย และมี Self-talk กับตัวเอง
    5. ตามด้วยการอ่านหนังสือ เด็กจะไปหยิบหนังสือที่ตัวเองชอบด้านหลังมาอ่าน เด็กที่นี้อ่านหนังสือกันเยอะมาก ถึงกับถาม ผอ. ว่าหนังสือใหม่มาหรือยัง (พวกเราก็เอามาบริจาคกันคนละ 2 เล่ม)
    6. คุณครูออกมาเล่าหน้าห้องประชุม บางครั้งก็เป็นคลิปดีๆ
  3. ทุกวิชามีปลายทางของมัน คณิตศาสตร์ >> สอบ Logic, สุขศึกษา >> สอนเรื่องการดูแลสุขอนามัย สุขศึกษาในไทยเด็กที่ได้เกรด 4 ยังคงฟันพุ น้ำหนักเกินอยู่เลย ผอ. ยกตัวอย่างในสิงค์โปว่าที่นั้นเขาไม่มีชั่วโมงเรียนสุขศึกษา แต่เมื่อถึงเวลาสอบทุกคนต้องทดสอบร่างกาย และจะให้คะแนนตามนั้น ทำให้เด็กที่นั้นต้องออกกำลังกายทุกวัน
  4. การแนะแนวที่ดีที่สุดคือให้เขาไปหาอาชีพนั้นเลย อยากเป็นช่างตัดผม พาเขาไปดูและคุยกับช่างตัดผม เขาอาจจะรู้ตัวว่าไม่อยากทำแล้วเพราะต้องยืนทั้งวัน
  5. การจะตักเตื่อนใครแนะนำให้ยึดหลัก "จับถูก 4 ครั้งจับผิด 1 ครั้ง"
กลับมา Session ในช่วงเย็นพี่จอยเปิด Clip : Dick & Rick Hoyt ให้พวกเราดู (ไม่แน่ใจว่าคลิปเดียวกันไหม) เกี่ยวกับพ่อที่ฝึกฝนร่างกายตัวเอง เพื่อลงแข่ง Iron man และพาลูกที่พิการไปในสนามด้วย เพราะลูกสื่อสารบอกว่าอยากไป


สุดท้ายฝากเรื่อง Roger Bannister ไว้สำหรับทุกคน Roger เป็นนักวิ่งที่ทำในสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยนั้นบอกว่าเป็นไปไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์ยืนยันไว้แล้วว่า ขีดจำกัดของมนุษย์ไม่สามารถวิ่ง 1 mile ได้เร็วกว่า 4 นาที แต่ในวันนั้น Roger สามารถวิ่ง 1 mile ได้ภายใน 3 นาที่ 59.4 วินาที และที่มากไปกว่านั้นก็มีคนทำสำเร็จและไวกว่าได้เรื่อยๆ หนึ่งในนั้นก็มีนักศึกษาด้วย

ขีดจำกัดของมนุษย์มีอยู่จริงหรือ?
ขอบคุณรูปสวยๆ จากพี่ทีมงาน TFT

Thursday, August 20, 2015

Teach for Thailand - Institute day 2

บันทึกการเดินทางตอนที่ 2: จุดเริ่มต้น

อ่านบทความตอนที่แล้ว Teach-for-Thailand-institute-day-1


อ่านตอนก่อนหน้าได้ที่ Teach-for-Thailand-institute-day-1

เชียงรายวันที่ 2

เมื่อคืนก่อนผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอน 6 โมงเช้า เพื่อที่จะอาบน้ำและไปกินข้าวให้ทัน แต่สิ่งที่ผิดพลาดก็คือผมตั้งเพลงผิด ปกติจะเป็นเพลงเสียงดังหนวกดู เพื่อทำให้เราตื่นขึ้น แต่ครั้งนี้เป็นเสียงธรรมชาติ สายน้ำ ลมพัดและเสียงนก แต่น่าแปลกว่าวันนี้ผมตื่นขึ้น พร้อมความสงสัยว่าสิ่งมหัศจรรย์ในวันนี้จะเป็นอะไร หรือไม่ก็ผมคงอยากตื่นขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า

ที่ Hall of Inspiration มีหลายอย่างที่ผมอาจจะไม่ได้เล่าในบันทึกการเดินทางตอนที่ 1 จะขอเล่าผ่านการเดินทางตอนที่ 2 วีนนี้จะมีการสรุปที่ดูงานเมื่อวาน โดยพี่วิทยากรจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง หลังจากนั้นเป็นการทำความเข้าใจกับปัญหา ที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ให้มากขึ้น และปิดท้ายด้วยเรื่องราวของคุณ Tony กับโรงเรียนที่ดอยตุง บทความนี้อาจจะหนักหัวนิดนึง เพราะเป็นการคุยกันเรื่อง Idea ซะส่วนใหญ่

การปลูกป่าในพื้นที่จากเดิมเคยแห้งแล้ง จากการทำไร่เลื่อนลอย เผาหญ้า จนกลับมาเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์นั้นไม่ง่ายเลย แต่ที่ยากกว่าคือจะทำยังไงให้ยั่งยืน พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาใหม่ๆ สมเด็จย่าทรงเล็งเห็นว่า ถึงแม้เราจะปลูกป่าไป แต่ถ้าคนในท้องที่ไม่ช่วยกันรักษา ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นอย่างเดิม



สิ่งที่น่าประทับใจในช่วงเช้าสำหรับผม คงเป็นเรื่องการให้ความสำคัญกับ "การพัฒนาอย่างยั่งยืน"
ทางมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงก็ให้แนวคิด ลำดับขั้นในการพัฒนาไว้ดังนี้

คน >>> เศรษฐกิจ >>> สังคม >>> สิ่งแวดล้อม

จะเห็นได้ว่า "คน" คือจุดเริ่มต้นในการพัฒนาที่สำคัญที่สุด และเพราะคนที่ไม่มีความรู้อีกเช่นกัน ที่จะทำให้ทุกอย่างสูญสิ้นไป ทำไร่ 20 ไร่ เผา 20 ไร่แต่ลามไปเป็น 100 ไร่ ก็เพราะพวกเขาขาดความรู้

ช่วยเขาให้ช่วยเหลือตัวเองได้ ชุมชนก็จะมั่นคง และกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะไปช่วยเหลือคนอื่นต่อ คนกับธรรมชาติจึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน มีคนเคยถามสมเด็จย่าว่า ท่านจะลำบากไปทำไม ท่านตอบกลับง่ายๆว่า "คนเดือดร้อน ถ้าเขาเป็นคน เราควรช่วยเขา"

เจาะลึกลงที่คน เราแก้ไขปัญหา 3 ด้านด้วยกัน คือ

ความเจ็บป่วย >>> ความจน >>> ความไม่รู้ (การศึกษานอกห้องเรียน)
[อยู่รอด >>> อยู่อย่างพอเพียง >>> อยู่อย่างยั่งยืน]

ถ้าพวกเขาป่วยเขาก็ทำงานไม่ได้ ถ้าพวกเขายังคงต้องดิ้นรนเลี้ยงปากท้อง ก็ไม่มีใครอยากไปหาความรู้
คนดอยตุงไม่ได้เริ่มจาก 0 แต่พวกเขาเริ่มจากติดลบ เพราะเรื่องของยาเสพติด

ดอยตุงแห่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาทั้งประเทศ ในประเทศไทยก็ยังคงมีปัญหาอีกมาก ผมอยากให้ทุกคนมาแข่งขันกับธุรกิจเพื่อสังคมกันมากขึ้น ทุกวันนี้ผมแยกไม่ออกแล้วว่าบริษัททำ CSR หรือ Marketing กันแน่ เรื่องนี้ก็น่าคิดและผมยังหาคำตอบดีๆไม่ได้

ตัวอย่างการสร้างคนด้วยธุรกิจเพื่อสังคมของดอยตุง

โรงเรียนทอผ้า >>> ทอผ้า (ขายได้) >>> ทอแบบยากขึ้น (รายได้เพิ่ม) >>> มีกำไร 
>>> หานักเรียนไปเรียนเพิ่ม >>> โรงเรียนทอผ้า

พี่วิทยากรก็เล่าต่อว่าภาพความคิดที่สวยงามแบบนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นทันที ความร่วมมือเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ถึงตรงนี้มีประเด็นที่น่าสนใจ เพื่อสร้างความยั่งยืนด้วยความร่วมมืออยู่ 2 ประเด็นด้วยกัน
อย่างแรก คือ ความคิดที่จะเข้าไปช่วยเหลือและรีบถอนตัวให้เร็วที่สุด โดยคนในท้องที่ยังคงอยู่ได้ ซึ่งจะทำได้ความร่วมมือของคนในท้องที่จะต้องมา ในวันแรกที่โครงการเริ่มต้นขึ้น
อย่างที่สอง คือ เป็นครั้งแรกที่บังคับให้มีความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทุกคนจะต้องลงพื้นที่แก้ไขปัญหาไปพร้อมกันหมด เวลาคนเรามีภาพที่ต่างกัน คุยยังไงก็ไม่ไปในทางเดียวกัน

แล้วทำอย่างไรคนในดอยตุงถึงเข้ามาร่วมมือกันได้? มันเริ่มด้วย 3 ขั้นตอนด้วยกัน เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา (ทั้งสามขั้นตอนไม่จำเป็นที่จะต้องเรียงกัน)

เข้าใจสาเหตุของปัญหา >>> เห็นประโยชน์ของการแก้ >>> อยาก
[ทำให้ดู >>> ทำด้วยกัน (สำเร็จจริง)>>> มั่นใจ]

เข้าใจสาเหตุของปัญหา จากการพูดคุยหาที่มาของปัญหา เช่น หนี้มาจากไหน? น้ำเพียงพอหรือเปล่า? เพาะปลูกได้ไหม? รายได้พอไหม? หลังจากนั้นเราก็เข้าไปทำให้ดู เพื่อบอกเขาว่ามันเป็นไปได้

เห็นประโยชน์ของการแก้ปัญหา โดยการลงพื้นที่ไปด้วยกัน อธิบายแบบให้เด็ก ป.4 เข้าใจง่ายๆ และลงมือทำด้วยกัน เพื่อบอกว่าเขาก็ทำได้เช่นกัน

และความอยากของคนในท้องที่จะกลายเป็นความมั่นใจ

จบไปแล้วกับช่วงแรกเนื้อหาแน่นมาก หยุดพักอ่านได้ตรงนี้ ต่อไปจะเป็นหัวข้อของ Theory of Problem และ Theory of Change


Theory of Problem

ผลสำรวจ PISA (2012) เด็กไทยอายุ 15 ปี รายงานว่า
33% วิทย์ไม่ถึงพื้นฐาน 50% คณิตศาสตร์ไม่ถึงระดับพื้นฐาน 33% การอ่านจับใจความ
(ขอขยายเล็กน้อย คณิตศาสตร์ไม่ถึงมาตรฐาน บงชี้ว่าเด็กกลุ่มนี้อาจถูกโกงได้ ในการซื้อของ การอ่านจับใจความ จะส่งผลต่อการซื้อยา ใช้ยาผิดประเภท)

ตัวเลขนี้อาจจะไม่เยอะ เราลองมาดูสถิติตัวต่อไปกัน


สถิติอันนี้ผมไม่แน่ใจว่ามาจากไหน แต่อยากให้ลองดูและวิเคราะห์ว่าเราเห็นข้อมูลอะไร จากสถิติตัวนี้บ้าง จุดแต่ละจุแทนสถานะของครอบครัวของเด็ก แบ่งเป็นเป็น 10 ช่วง สีฟ้าคือดีมากและสีดำคือแย่มาก แกนตั้งที่มีตัวเลข แสดงคะแนนของเด็ก...ให้เวลาคิด 24 วินาที

สำหรับผมบอกตามตรงสิ่งที่เห็นคือประเทศไทย ต่ำกว่าที่เหลือทั้งหมด แต่ประเด็นสำคัญคือความเหลื่อมล้ำในสังคม จะเห็นได้ว่าเด็ก 10 - 20% ของประเทศที่มีฐานะทางสังคมดีกว่า จะได้รับการศึกษาที่ดีกว่า คนที่เหลือถึง 2.5 ชั้นปี (ช่วงคะแนน 1 ช่วงคือ 1 ชั้นปี)

หลังจากเกริ่นนำ พี่ก็ให้พวกเราทำ OCS ระดมความคิดกันว่าเราคิดว่ารากของปัญหามันคืออะไร
และจบลงที่ Theory of Change ในฐานะ Fellow (คนที่เข้าไปทำการสอน) และ อนาคต Alumni เราจะไปสร้าง Impact อะไรให้กับสังคมและปัญหาการศึกษาในด้านไหน

ช่วงบ่ายผมได้คำถามสำคัญสองคำถาม
Defining moment และ What is your Hero? เราลองถามคำถามนี้กับตัวเอง ผลที่จะได้ออกมาคือ
Defining moment จะบอกว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน
What is your Hero? จะบอกว่าปลายทางเราอยากจะไปที่ใด
ซึ่งผมก็ยังคงตอบชัดเจนไม่ได้อยู่ดี คิดว่าคงต้องจริงจังกับการหาคำตอบให้มากขึ้น

ต่อมาคุณ Tony ชาวต่างชาติที่มาทำงานอยู่ที่ดอยตุงมาแล้วกว่า 11 ปี ช่วยด้านการศึกษาของที่นี้ จะมาเล่าเรื่องราวของโรงเรียนที่น่าอัศจรรย์ใจ ไม่รู้เพื่อนๆจะตื่นเต้นเหมือนผมไหม จะขอยกรายละเอียดไปเล่าในตอนหน้า Montessori บนดอยตุง








อ่านบทความตอนต่อไป Teach-for-Thailand-institute-day-3

Wednesday, August 19, 2015

Teach for Thailand - Institute day 1

บันทึกการเดินทางตอนที่ 1 ทำไมดอยตุง?



เริ่มการอบรมโมดูล 1 และ 2 ที่เชียงราย ณ ดอยตุง วันแรก

มาถึงแล้วเชียงรายหลังจากนั่งรถโค้ชมา 10 ชั่วโมง สภาพยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟัน แต่ยังไม่ถึงเวลาพักต้องมาที่ศึกษาดูงาน 52 ไร่ก่อน สถานที่ไปดูได้แก่ โรงงานทำกระดาษสา โรงงานทอผ้า โรงงานเครื่องปั้นดินเผาและปิดท้ายด้วยการชิมกาแฟดอยตุง



เริ่มที่โรงงานกระดาษสาก่อน ประทับใจในหลายๆอย่าง ที่นี้แสดงให้เห็นถึงการเข้ากันของความเป็น Global และ Local กันอย่างลงตัว เข้ากันตรงที่สิ้นค้าที่ผลิตจากโรงงานกระดาษสาแห่งนี้ ได้คุณภาพเป็นที่ต้องการระดับโลก บริษัทอย่าง IKEA ก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่ สั่งทำผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และรายได้เข้าสู่กระเป๋าของคนท้องถิ่น



การผลิตกระดาษสานั้น แต่ก่อนที่ใช้กรรมวิธีแบบของไทย ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องแดดที่ใช้ตากให้แห้ง และการคุมคุณภาพที่ทำได้ยาก ทำให้ค่อยๆมีการพัฒนากรรมวิธี มาเป็นวิธีผลิตแบบญี่ปุ่น แต่ปัญหาก็คือต้องใช้ไม้ไผ่เซกิที่มีราคาแพง นำเข้าจากญี่ปุ่นมาทำตะแกรงจับเยื่อกระดาษ ไม่ทนทานและแพงมากอยู่ที่ 5000 บาทต่อชุด แต่ได้มีการพัฒนานำของพื้นบ้านมาใช้ทำตะแกง ทำให้ลดต้นทุนลงไปได้มากเหลือเพียง 50 บาทต่อชุดและทนทานกว่า

โรงงานกระดาษสาแห่งนี้ก็พัฒนาปรับนุ้นนิดนี้หน่อย ลดการใช้แก๊สโดยใช้กะลาแมคาแดเมีย มาเป็นเชื้อเพลิง ควบคุมการใช้สารเคมีไม่ใช้กระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ Partner โดยเฉพาะ Ikea ให้ความใส่ใจมากถ้าไม่ผ่านเกณฑ์สินค้าก็ขายไม่ได้ พนักงานที่ทำงานก็รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เพราะได้เป็นส่วนช่วยในการรักษาสิ่งแวดล้อม

กระดาษสาที่ได้ก็ผ่านการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นสมุด กล่องของขวัญ พัด ฯลฯ หนังสือเล่มหนึ่ง ถ้าคิดทั้งกระบวนการแล้วใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ฟังดูแล้วเล่มละ 500 บาทก็ยังคุ้มเลย เพราะสมเด็จย่าทรงมองทั้งลึกและกว้าง จึงพยายามพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพระดับ Premium เพราะอยากให้ผู้คนซื้อสินค้าที่คุณภาพ ไม่ใช่เพราะสงสารคนที่ดอยตุง

ในโรงงานต้องใช้ฝีมือพอควร ที่จะกะน้ำหนักของกระดาษได้พอเหมาะ เพื่อให้กระดาษมีความหนาที่เหมาะสม



มาต่อกันที่โรงงานทอผ้า ที่นี้ถือว่าเด็จดวงมากจริงๆ คุณภาพของผ้าที่ได้ถือว่าระดับ Premium มากผ้าพันคอผืนละ 1000 บาทถือว่าไม่แพง แต่พอดีที่บ้านไม่ได้นิยมใส่ก็ขอบายก่อนละกัน แต่เดิมทีการทอผ้าเป็นอาชีพเสริมของคนบนดอยอยู่แล้ว แต่สร้างรายได้น้อยและวิธีการผลิตยังให้ผลผลิตที่น้อยมาก สมเด็จย่าเห็นเช่นนั้น จึงหาผู้เชี่ยวชาญด้านการทอผ้ามาทำการอบรมให้ และยังจัดหาวัตถุดิบที่จำเป็นพร้อมทั้งรับซื้อผ้าอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะถ้าทอผ้าเก่งแต่ขายไม่ได้ ไม่ได้ราคาคนทอผ้าก็อยู่ไม่ได้ ถือว่าโรงงานแห่งนี้เปลี่ยนชีวิตของสาวบนดอยไปหน้ามือเป็นหนังมือเลยทีเดียว

เมื่อก่อนชาวบ้านจะทอได้วันละ 2 เมตรซึ่งมาตรฐานการทอผ้าจะอยู่ที่ 10 เมตรแต่ตอนนี้ ชาวบ้านสามารถทอได้วันละไม่ต่ำกว่า 12 เมตรแล้ว

ทั้ง 2 โรงงานที่ได้กล่าวไปจะมีคนเฒ่าคนแก่มาทำงาน เพราะสมเด็จย่าเล็งเห็นว่า คนเหล่านี้สามารถทำงานได้ ดีกว่าอยู่เฉยๆขอเงินลูกหลาน อีกทั้งยังสร้างความภาคภูมิใจให้แก่พวกเขาอีกด้วย ที่ยังสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ และที่นี้ยังเปิดรับทุกคนที่มีความตั้งใจที่อยากจะทำงานอีกด้วย


นั่งรถตู้ต่อมาที่โรงงานเครื่องปั้นดินเผา เมื่อก่อนดินบริเวณนี้เป็นดินเสื่อมโทรม ดินมีการผุกร่อน จึงได้มีการปลูกหญ้าแฝกซึ่งรากนั้นลึกสุดถึง 60 เมตร ใบของหญ้าแฝกสามารถทอเป็นกระถางต้นกล้าได้ ลดการใช้พลาสติก ต่อมานักวิชาการพบว่าดินบริเวณนี้มีแร่ฟันม้าอยู่ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำเซรามิก
แรงงานที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นเพราะเป็นงานที่ต้องใช้แรง กรรมวิธีที่นี้จะมีด้วยกัน 4 วิธีได้แก่ ขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน ขึ้นรูปด้วยหัวโรเลอร์ หล่อด้วยน้ำดินและขึ้นรูปด้วยแป้นอัดน้ำดิน


กลับออกมาพักชิวๆ ด้วยการจิบกาแฟดอยตุง กาแฟดอยตุงนั้นเป็นพระราชดำริที่ต้องการให้มีการฟื้นฟูป่า และให้มีการปลูกพืชอื่นแทนการปลูกฝิ่น เนื้อจากกาแฟที่มีคุณภาพจะต้องปลูกใต้ต้นไม้ใหญ่ บนที่สูง 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล เพราะเมล็ดกาแฟจะสุกเองตามธรรมชาติ ไม่ได้สุกเพราะแสงแดด จะให้รสชาติที่ดีที่สุด และให้ความเป็นเจ้าของแก่ผู้ปลูกไร่กาแฟ เพื่อให้เขาดูแลรักษาผืนป่าที่สร้างรายได้แห่งนี้



กลับมา Reflection กันที่ห้องประชุม ด้วย 2 หัวข้อด้วยกัน Top of Mind และ Top of Feeling สิ่งแรกที่เด้งขึ้นมาในใจของเรามันคืออะไร สำหรับผมสิ่งแรกเลยคือ เจ๋งมากที่มีแนวคิดที่จะสร้างงานให้คนสูงอายุ ซึ่งผมไม่เคยนึกถึงจุดนี้เลย เป็นที่รู้กันว่ายุคของคนสูงอายุเยอะกว่าคนหนุ่มสาวกำลังจะมาถึง ถ้าเราสามารถสร้างงานให้คนสูงอายุได้ ไม่เพียงแต่จะไม่เป็นภาระของลูกหลานเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกท่านรู้สึกมีคุณค่าอีกด้วย



จากนั้นก็เข้าไปหาแรงบันดาลใจ และคำตอบของคำถามว่าทำไมดอยตุง ที่หอแห่งแรงบันดาลใจ หรือ Hall of Inspiration ซึ่งเป็นเรื่องราวของคน 1 คนที่เปลี่ยนแปลงดอยตุง เปรียบเสมือนน้ำ 1 หยดที่ตกลงบนผืนน้ำสร้างระลอกคลื่นตามมา คนหนึ่งคนจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ ที่นี้มีคำตอบ



เนื่องจากวันนี้เราได้มีการทำ Presentation เล็กๆซึ่งเพื่อนๆเป็นนักเล่าเรื่องที่ดีมากเลย พี่จอยก็เลยให้เราดู Setting วิธีการจัดและนำเสนอความคิดของแต่ละกลุ่ม เราจำเรื่องราวของแต่ละกลุ่มอะไรได้บ้าง ก็เลยมีทฤษฎี 3-Vs มาสอน ร้อยละ 93 ของความเข้าใจมาจากสองส่วนด้วยกัน Vocal and Visual

จบไปแล้วกับมหากาพย์ตอนที่ 1 กลับมามองดูอีกทีนี้วันนึงทำอะไรเยอะขนาดนี้เลยหรือเนี่ย รู้สึกมีแรงบันดาลใจเต็มเปี่ยม ^^

ติดตามอ่านตอนต่อไปได้ที่ Teach-for-Thailand-institute-day-2

Monday, August 17, 2015

The Law of Success - Napolean Hill (อธิบายโดย ดร.บุญชัย โกศลธนากุล) [ข้อที่ 11 - 12]


ข้อที่ 11 ความคิดที่ถูกต้องแล้วเที่ยงตรง

ชีวิตคนเรานั้นสั้น การที่คนจะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนเอง และสภาพแวดล้อมที่ชัดเจน โลกนี้คือการเปรียบเทียบเลยว่าใครมีปรัชญาที่ถูกต้อง คนคนนั้นจะมีความคิด คำพูด การกระทำที่ถูกต้อง

ความคิดที่ถูกต้องแล้วเที่ยงตรง คือ ความสามารถที่จะแยกข้อเท็จจริง (Fact) ออกจากข้อคิดเห็นหรือการปรุงแต่ง โลกปัจจุบันเราต่างฟังวิทยุ ดูทีวี อ่านหนังสือพิมพ์ จนบางครั้งเราไม่รู้ว่าอันไหนเป็นจริง อันไหนเป็นเท็จ

คนที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงได้นั้นจะต้องมี จิตที่เข้มแข็งก่อน เมื่อเผชิญหน้ากับความจริงนั้น กระเทือนอีโก้ ความเป็นตัวกูของกู หรือศักดิ์ศรีของเรา แต่เรายังนิ่งสงบยิ้มรับได้ นั้นคือจิตใจเรามีพลัง โอกาสในการแยกแยะข้อเท็จจริงออกมาได้มากขึ้น

เป็นคนที่ไม่มองโลกขาวหรือดำอย่างสิ้นเชิง เขาจะมองโลกเป็นสีเทา คือเวลาฟังสิ่งที่ดีจะยิ้มรับไว้ แต่จะไม่หัวเราะร่าว่าสิ้งนั้นจะต้องใช่เลยตามที่เราคิดไว้ เพื่อนคนหนึ่งของเราอาจจะเป็นคนไม่ดี แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีส่วนดีเลยเป็นต้น ทั้งหมดนี้เกิดจากคุณภาพจิต ไม่ใช่เครื่องมือในการใช้แยกแยะข้อมูล

ไม่เชื่อข่าวลือที่คนอื่นเขาเชื่อกัน เด็จขาดคุณภาพของจิตต้องสูงเท่ามาตรฐานของหนังสือเล่มนี้ได้

จะต้องไม่ปล่อยให้ความหวาดวิตก ซึ่งทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำตลอดเวลา เพราะหลายครั้งสิ่งที่เราวิตกมากๆเนี่ย มันกลับกลายเป็นความจริง (Self-fulfilling phophecy) น่ากลัวมากๆ

เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ เราส่วนใหญ่จะคิดว่าจะต้องมีข้อมูลที่มีเหตุมีผล จึงจะถือว่าเรื่องนั้นคือข้อเท็จจริง แต่หนังสือเล่มนี้กลับบอกไปในอีกทางหนึ่งที่แตกต่างออกไป

อย่าเชื่อเพราะตามกันมา อย่าเชื่อเพราะเป็นศาสดา อย่าเชื่อเพราะฟังดูแล้วมีเหตุมีผล อย่าเชื่อเพราะเหมือนกับที่เราคิดไว้เลย (เราจะไม่ปล่อยให้สิ่งที่ผ่านเข้ามาทางสัมผัสทั้ง 5 เป็นสิ่งที่ถูกต้องตลอดเวลา) เราจะต้องคิดพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เท่าที่ปัญญาของเราจะสามารถทำได้ ฟังหูไว้หู

เราต้องมีความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราอย่าไปโหมให้ไฟมันใหญ่ขึ้น สิ่งต่างๆที่ยุ่งกับอารมณ์เราอย่าไปยุ่งเด็จขาด อย่าไปสนใจข่าวนินทาเพราะคนที่ถูกนินทาต้องน้อยเนื้อตำใจแน่ๆ

ทำไมมนุษย์ไม่สามารถแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากข้อคิดเห็นได้ เพราะมนุษย์มักจะเอาคำว่าตัวกูของกูเข้าไปวุ่นวายเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองเข้าไปสัมผัส พระพุทธเจ้าจะบอกไว้เลยว่า สิ่งต่างๆที่เราได้เข้าไปสัมผัสมันเป็น ความจริงเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น (Partial Reality) ความจริงสูงสุดมันไม่มี
ความจริงในบางครั้งมันจริงในเดือนที่แล้ว แต่ตอนนี้เวลานี้วินาทีนี้มันอาจจะไม่จริงก็ได้ มนุษย์มีนิสัยที่จะด่วนตัดสินสิ่งต่างๆ จนลืมไปว่าความจริงสูงสุดในโลกมนุษย์เนี่ยมันไม่มี มันเกิดแล้วมันดับแล้วมันก็เปลี่ยนแล้ว ปัจจัยภายนอกเปลี่ยนตลอดเวลา ตัวเราเองก็เปลี่ยนตลอดเวลา

ข้อที่ 12 ความใจจดใจจ่อ

ความใจจดใจจ่อ (Attentiveness) สำคัญมากๆเลย เปรียบเสมือนแสงอาทิตย์ที่ผ่านกระจกนูน เมื่อแสงที่ผ่านโดนกระดาษ กระดาษก็จะไหม้ การที่เราจดจ้อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พลังจิตและสมาธิมันจะเกิดพร้อมกันหมดเลย และจะเกิดปัญญาตามมา และเช่นกันตัวสติกับสมาธิจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีปัญญา เราต้องรู้ว่าเวลาไหนเราควรจะโพกัส ตัวสติ สมาธิ ปัญญาเป็นเนื้อเดียวกันเราจะแยกมันออกจากกันไม่ได้

พลังจิตคนเรามีมากมายมหาศาล ถ้าเราจดจ่อมากๆไม่ว่าเรื่องอะไรเราก็จะทำได้ทุกเรื่อง สมมุติง่ายๆเป็นการล้างจาน ถ้าเราล้างไปคิดเรื่องนุ้นเรื่องนี้จานอาจจะตกลงมาแตกก็ได้ หรือไม่อาจจะใช้เวลาล้างนานกว่าปกติ

"นาฬิกาทราย ทรายหมดทีละเม็ด ปฏิบัติงานทีละอย่าง" ให้จิตจ่อไปทีละเรื่องเสร็จแล้ว ค่อยย้ายจิตไปทำสิ่งต่อไป ความจดจ่อคือลงมือทำ ไม่ใช่อยากมีอยากได้ตลอดเวลา จิตโพกัสได้เรื่องเดียวเวลาเดียวเท่านั้น

ความจดจ่อของมนุษย์เราเกิดจากนิสัยนี้เอง เป็นพิมพ์เขียวในสมอง (ฺBlue print) ฝึกนิสัยให้เหมือนสายเคเบิลที่สานกันอย่างมั่นคง

คนฉลาดเวลาเข้าห้องมืดๆ เปิดไฟจุดตะเกียงทันที หมายถึงคนฉลาดเรียนรู้สิ่งดีๆ จะนำมันมาใช้ในทันที ทำซ้ำไปซ้ำมาจนเป็นนิสัยถาวรในแง่ดี 

จะสร้างนิสัยได้จะต้องเห็นโทษ ของการวอกแวกทำอะไรหลายอย่างพร้อมๆกัน มันไม่มีผลดีต่อร่างกายและจิตใจเลย เครียดเป็นโรคหัวใจ โรคต่างสารพัด

คนจะมีความสุขและประสบความสำเร็จได้ คนคนนั้นจะต้องมี การเก็บกรอบความคิดที่ถูกต้องไว้ในหัว
และทำตามแนวความคิดที่ถูกต้องให้ได้มากที่สุด

จะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีเท่านั้น

ขอขอบคุณ ดร.บุญชัย โกศลธนากุล มา ณ ที่นี้ด้วย
เรียบเรียงใหม่โดย J. Burananit

Saturday, August 15, 2015

The Law of Success - Napolean Hill (อธิบายโดย ดร.บุญชัย โกศลธนากุล) [ข้อที่ 7 - 9]


กลับมาต่ออีก 3 ข้อซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็ให้เหตุผลว่า เราจะต้องมีคุณลักษณะต่างๆเหล่านี้อย่างไร บางครั้งผมก็คิดว่าตัวเองนั้นรู้แล้วสำหรับเรื่องเหล่านี้ แต่หนังสือเล่มนี้ก็ตอกย้ำว่าโลกใบนี้นั้นมันใหญ่ยิ่งนัก มีสิ่งที่เราต้องรู้แต่ไม่รู้อีกมากมาย ค่อยๆฝึกกันตามคำแนะนำของหนังสือเล่มนี้ไปด้วยกันนะครับ :)

ข้อที่ 7 ความกระตือรือร้น

คนจะประสบความสำเร็จได้จะต้องมี ความกระตือรือร้น (Enthusiasm) ให้คิดถึงเวลาที่เราเจอคนที่มีความกระตือรือร้น เราอยากมอง เราอยากฟัง เพราะแต่ละอย่างที่ออกมาจากคนที่มีความกระตือรือร้นนั้นน่าสนใจไปหมดเลย มีเสน่ดึงดูดคนรอบข้าง สามารถกระเทือนจิตใจของคนรอบข้างได้หมด โน้มน้าวใครได้ง่ายมากเลย สุขภาพก็ดีด้วย เพราะกายกับจิตนั้นสัมพัทธ์กัน

พูดถึงเรื่องความกระตือรือร้น ใครๆก็ชอบหมดแต่ถามว่าจะสร้างมันได้อย่างไร?

จะต้องสร้างความรัก ความพอใจ ความผูกพันกับงานที่เราทำอยู่
งานที่เราทำนั้นต้องเป็นงานที่เราชอบ สร้างคุณค่าต่อสังคม ต่อองค์กร ต่อครอบครัวของเราและต่อตัวเอง
เอาความรู้สึกของตัวเองตรวจสอบ งานที่เราทำเรามีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์หรือไม่ ความจริงจัง

ถ้าเราไม่มีทางเลือกงานที่เราทำไม่ได้เป็นงานที่เราชอบ ให้มองว่างานนั้นเป็น Stepping stone ได้ไหม เป็นบันไดแต่ละขั้นที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ สิ่งที่เราทำอยู่เป็นส่วนหนึ่งของการเดินไปสู่จุดหมาย ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันทะจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หลายๆครั้งฉันทะไม่ได้เกิดขึ้นเอง เช่นบางครั้งเป็นไปได้ที่เราจะอยู่กับใครสักคนหนึ่งที่เราไม่ได้ชอบมาก แต่อยู่ไปปรากฎว่าเข้ากันได้ ไปด้วยกันได้ หรือเราเป็นเจ้าของกิจการแล้วต้องทำบัญชี เราได้ประโยชน์จากสิ่งนั้น เราก็พร้อมที่จะเรียนรู้ เตือนตัวเองในสิ่งนั้น (Remind)

ได้เจอกับคนที่มีความกระตือรือร้นด้วยกัน
ประสบความสำเร็จในการหาเงินหาทอง เพราะคนสำเร็จประเภทนี้จะเห็นอะไรเป็นรูปธรรม
สุขภาพที่ดี ถึงจิตใจเราจะเข้มแข็งขนาดไหน แต่ถ้าร่างกายป่วยไป จิดใจก็พลอยจะร่วงโรยตามไปด้วย ยกเว้นว่าคุณสำเร็จเป็นพระอรหันต์ -/\- ควรออกกำลังกายซะหน่อย ร่างกายจำเป็นมากๆ กายกับจิตเป็นเนื้อเดียวกัน
มีความรู้สึกภูมิใจ (Self-esteem) ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่เนี่ย มันมีประโยชน์ต่อสังคม มีประโยชน์ต่อองค์กร คิดให้ใหญ่ (Think Big)

*เราต้องลืมอดีตทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจของเรา คนส่วนใหญ่มักจะแบกอารมณ์อยู่ตลอดเวลา เหมือนมีโซ่คอยตรึงเราอยู่ เวลาเราทำกิจกรรมต่างๆเราไม่รู้หลอกว่าเราแอบเอาความคิดไม่ดีติดมาด้วย จิตไปเกาะอยู่ในเรื่องที่กังวลใจ ทำให้คนเรามองแต่ไม่เห็น ฟังแต่ไม่ได้ยิน

ในเวลาที่ทำงาน จัดการกับปัญหาไม่ควรเอาความฟุ้งซ่านมาด้วย (คนเราปกติฟุ่งซ่านวันละหกหมื่นเรื่อง!) มันจะคอยฉุดกระชากเราไว้ ทำงานให้มีสติไปคอยกำหนด ลืมปัญหาคาในทั้งหมดเวลาทำงาน ความกระตือรือล้นจะเกิดขึ้นได้

*จิตจะต้องใหญ่พอ ทำอะไรบางอย่างหรือคิดเพื่อคนอื่นตลอดเวลา จิตจะกว้างใหญ่ไพศาล เวลามีคนทำผิดต่อเราที่ไม่ได้ส่งผลร้ายกับเรามาก เราจะให้อภัยและปล่อยเขาไป เราจะเกิดความกระตือรือร้นขึ้นเพราะเราไม่สะสมจิตที่อึดอัด จิตโทษะ

ทุกนาทีจิตใจเราสร้างทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม จิตใจที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น มักจะสร้างแต่อกุศลกรรม ทำให้เราตกเป็นทาสของกิเลส ปัญหา อุปาทาน เลือกตัวสติให้จิตคิดแต่กุศลกรรม ทำให้เรามีความสุขขึ้นเรื่อยๆ กระตือรือร้นขึ้นเรื่อยๆ การจะปรับสิ่งต่างๆต้องปรับที่ใจก่อน จะต้องมีสัมมาทิฏฐิให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้

สัมมัปปธาน 4
1) ความคิดที่ไม่ดีไม่ชอบ ตัดทิ้งไปเลย อย่าไปคิดต่อ [เกิดขึ้นมาเอง]
2) อย่าไปดึงสิ่งที่ลบ (Negative) มาคิด [ตั้งใจให้เกิดขึ้น]
3) ดึงสิ่งที่มีประโยชน์ขึ้นมาคิด [ตั้งใจให้เกิดขึ้น] ชีวิตเราเองจะปรับปรุงพัฒนาตนเองได้อย่างไร
4) รักษาความคิดที่ดีให้คงอยู่ต่อไป

*ความกระตือรือร้นสำคัญมากสำหรับผู้นำ ผู้นำอยากให้ลูกน้องขยันขันแข็งมีความกระตือรือร้น คำถามคือตัวเรามีความกระตือรือร้นแล้วหรือยัง เราจะสามารถสร้างทีมเวิคได้

ข้อที่ 8 การควบคุมตนเอง

การควบคุมตนเอง (Self-control) คนเราทำดีมาร้อย มาพันครั้ง แต่เราระเบิดลงเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างที่ดีจะเสียหมด คนจะด่าทอ โจกจันในสิ่งไม่ดีที่เราทำ มนุษย์มักจะจำสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่น

1) ควบคุมอารมณ์ของตนเอง อย่าไปทะเลาะกันเลย ความโกรธเอาชนะความโกรธไม่ได้ หากเรามีอำนาจมากกว่า เขาอาจจะยอมเราแต่ใจเขาไม่มีทางยอมเราแน่ การทำสิ่งต่างๆอย่างมีสติ คนจะรักและสรรเสริญ ถ้าเราควบคุมอารมณ์ไว้ได้เนี่ยเราจะมีพรหมวิหาร 4 คือมีเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา

ถ้าสภาวะจิตใจข้างในโล่งโปร่งสบาย การมองหรือแสดงออกจะสะท้อนความเป็นจริงของรอบข้าง ให้ภาวะในใจของเราโล่งโปร่งสบาย ในทางกลับกันถ้าจิตเราโกรธ อึดอัดหรือโลภเนี่ย สิ่งต่างๆที่เรามองอยู่หรือแสดงออกเนี่ยก็บิดเบือนจากความเป็นจริงแล้ว
"จงยังประโยชน์ปัจจุบันให้สูงสุด ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
- พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เทศน์ไว้ก่อนปรินิพานว่า

เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเลย เราจะอยู่กับปัจจุบันได้จิตใจของเราต้องโล่ง โปร่ง สบายก่อน ให้นานที่สุด มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในยามที่เราประคองจิตมันกัน หลังจากนั้นจิตจะเรียนรู้ได้เอง จิตนั้นฉลาดนะ

คนที่ควบคุมตัวเองได้จะถือว่าเป็นคนที่มี EQ สูงสุด ต้องตั้งจิตให้ได้ก่อนว่าจะไม่ปล่อยให้ระเบิดลง ต้องตั้งตั้งจิตก่อนว่าสามารถรับได้ทุกสภาวะ ทุกสถานการณ์

"I can embrace all kind of contradictions"
 - เลโอนาร์โด ดา วินชี

ข้าพระเจ้ารับได้กับความขัดแย้งทุกรูปแบบ จะไม่มีการทำร้ายตัวเอง ทำจิตใจเราให้ตั้งตรงนิ่งก่อน

2) ให้มองถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาก่อน (Consequential outcome) ว่าสิ่งที่จะตามมานั้นคืออะไร
3) การตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้เลย ถ้าเราระเบิดลงมันจะทำลาย เป้าหมายของเราอย่างไร เตือนตัวเองตลอดเวลา
4) ทำอะไรเบาๆหน่อย ทำอะไรให้ช้าลงได้ไหม เบาลงได้ไหม คนเดี๋ยวนี้ทำอะไรวุ่นวายไปหมด ผลที่ตามมาก็คือจิตไม่มีสติ จิตไม่มีสมาธิ ฟุ้งซ่าน

คนฉลาดจะรู้ว่าเมื่อไรควรจะปล่อยวาง แล้วอะไรหละคือสิ่งที่จะบอกว่าเราควรจะจริงจังตอนไหน ปล่อยวางตอนไหน นั้นคือความรู้สึกนั้นเอง

ความอดทนเป็นบารมีสูงสุดของพระโพธิสัตว์ พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายกย่องความอดทนว่า เป็นบารมีที่เหนือสิ่งอื่นใด อดทนไม่ตอบโต้ต่อสิ่งที่มัวหมอง ง่ายสุดคือหายใจลึกๆ แล้วเราก็จะมีความสุข

ข้อ 9 นิสัยทำงานนเกินเงินเดือน

ห้ามคิดเช้าชามเย็นชามตลอด อย่าคิดว่าทำงานเงินเดือนแค่นี้จะเอาอะไรมากนัก เพราะชีวิตเราจะเบื่อหน่ายทำสักแต่ว่า ให้มีเงินเพียงพอมาจุนเจือชีวิตและครอบครัว

นิสัยทำงานเกินเงินเดือนทำให้ เรากระตือรือร้น และก่อนจะกระตือรือร้น ต้องสร้างความรักในงาน
งานแต่ละชิ้นควรทำงานให้ได้ A, A+ ตลอดไม่ว่างานนั้นจะต่ำต้อยแค่ไหน เพราะเราจะได้ทักษะแต่ละด้าน แต่ละส่วนในระดับที่สูงสุด ต้องมองให้ออกว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็น บันไดขั้นที่เท่าไรสู่ความสำเร็จ

ขอขอบคุณ ดร.บุญชัย โกศลธนากุล มา ณ ที่นี้ด้วย
เรียบเรียงใหม่โดย J. Burananit

Friday, August 14, 2015

The Law of Success - Napolean Hill (อธิบายโดย ดร.บุญชัย โกศลธนากุล) [ข้อที่ 3 - 6]


กลับมาต่อเพิ่มอีก 4 ข้อ ของหนังสือขายดีตลอดการ The Law of Success จะสรุปทั้งหมดก่อนที่ทุกท่านจะอ่านบทความนี้ สิ่งที่สำคัญคือ "สติ" ตัวเดียวเลย ถ้าไม่อยากอ่านก็ไปฝึกสติอย่างเดียว ด้วยการสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม แล้วแต่ถนัด หากไม่สะดวกเราสามารถฝึก กำหนดจิตไปกับแต่อริยาบทของเราในชีวิตประจำวันได้เช่นกัน

ข้อที่ 3. ความเชื่อมั่นในตนเอง

ความเชื่อมั่นในตนเอง (Self-confidence) เวลาเราฟังคนบรรยาย ผู้พูดมีความมั่นใจ คนฟังก็จะคล้อยตามไปด้วย หรือแม้เวลาเจอพนักงานขายที่มีความมั่นใจ ก็ซื้อใจลูกค้าไปได้เกินครึ่งแล้ว

1) หาความรู้ทุกแง่ทุกมุมและทุกด้าน รู้อยากเดียวไม่พอต้องคิด
What are the success factors? อะไรคือปัจจัยของความสำเร็จ
What are the failure factors? อะไรคือปัจจัยแห่งความล้มเหลว
จะต้องคิดออกมาให้หมดก่อนจะเริ่มต้นงาน เพื่อนที่มักจะฟุ้งซ้าน วิตกจริตแนะนำให้ดึงมาร่วมพิจารณาด้วย เมื่อเรารู้ข้อดีข้อเสียแล้วเราก็จะเกิดความมั่นใจ
ความฉลาด = ความเชี่ยวชาญ (Expertise) + ทักษะ (Skill)
คนที่พูดหรือทำในสิ่งที่ตนเองเชี่ยวชาญจะทำได้คล้องแคล้ว หากเราอยากเชี่ยวชาญด้านไหน ควรจะหาความรู้ให้รอบด้าน

2) ใจที่สะอาดและบริสุทธิ์ ไม่ได้ทำเพื่อประจบใคร เป็นจิตที่ทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด เท่าที่ตนเองจะทำได้ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อสิ่งต่างๆออกมาจากใจสิ่งนั้นจะมีพลัง แต่คนส่วนใหญ่มักจะพูดไม่ตรงกับความรู้สึก Speak from your Heart, not from your Head. พูดออกมาจากใจไม่ใช่ความคิด มนุษย์บางครั้งยึดติดกับความคิดมากเดินไป จนลืมดูความรู้สึก ความรู้สึกคือเพื่อนกัลยาณมิตร เป็นสิ่งที่จริงและจะคอยชี้แนะว่าสิ่งไหนควรทำ หรือสิ่งไหนไม่ควรทำ
ทำทุกสิ่งทุกอย่างจากใจที่มีคุณธรรม พลังพุทธจะปรากฎอย่างชัดเจน รู้ในสิ่งที่ใช่หรือไม่ใช่อย่างชัดเจน

3) ตัวเราเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ต่างมีข้อบกพร่องด้วยกันทั้งสิ้น เราเพียงพยายามทำสิ่งต่างๆให้ผิดพลาดให้น้อยที่สุด เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าเราคิดว่าเราเก่งมีความสามารถมาก เราจะไม่มีความเมตตาต่อคนที่ทำผิดหรืออ่อนแอกว่าเรา และที่สำคัญก็คือเวลาที่เราทำผิดเอง จะยอมรับสิ่งที่ตนเองทำไม่ได้ อย่ามีความมั่นใจกับตัวเองเกินไป คิดว่าเราสามารถทำผิดได้ตลอดเวลา ทำให้เราไม่ประมาท

4) ไม่หวังสิ่งต่างๆ ทรัพย์สิน การชื่นชมจากคนอื่น จิตเราไม่สะอาด เราคิดมากไปหลายสิบชั้น ระวังความคิดความรู้สึกคนอื่นที่มีต่อเราตลอด สิ่งที่เราทำหรือเราพูดจะไม่มีพลัง คนประเภทราคะจริต จะเก่งในการพูดคล้อง ฟังสะเนาะหู แต่คนส่วนใหญ่จะไม่เชื่อราคะจริตมากนัก เพราะหวังให้คนรักและชื่นชม ส่งผลให้เนื้อหาสาระที่ต้องการจะสื่อไม่กินใจผู้ฟังมากนัก ทำงานต่างๆด้วยจิตที่ว่างไม่มีตัวกูของกู

5) มีสติรู้ตัว รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ รู้ว่ากำลังพูดอะไร รู้นำเสียงพูดน่าฟังไม่น่าฟัง ผู้รู้หรือตัวรู้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าให้ความสำคัญมากที่สุด คนที่เกิดการรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา จะทำให้เกิดความมั่นใจขึ้นมาด้วยตนเอง สรุปคือฝึกตัวสติตัวเดียวก็จบ

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่ใช่การพูดว่า "เราจะต้องเชื่อมั่น เราจะต้องกล้าหาญ เราจะไม่กลัวใคร" เป็นการหลอกตัวเอง ไม่กินลึกไปถึงจิตใจ เป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น

ข้อที่ 4. มีนิสัยประหยัดอดออม

คนจีนจะบอกว่า "คนที่กระเป๋าเต็มพูดอะไรก็มีคนฟัง พูดเสียงดังด้วยความมั่นใจ" ถ้าเรามีเงินออมระดับหนึ่งให้เราไม่เดือดร้อน เราจะมีความสงบ มหาเศรษฐีต่างๆที่มีเงินมากกว่า 2000 ล้านบาทจะบอกเหมือนกันหมดเลยว่าทุกคนมีนิสัยประหยัดอดออมตั้งแต่เด็ก ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยซะด้วยซ้ำ เพื่อเรียนรู้คุณค่าของเงิน และอยู่เหนือเงินไม่ให้เงินมาบงการชีวิต ใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด

กลุ่มคนที่ถังแตก ต้องไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่น คนเหล่านี้จะตกเป็นทาสของเงิน ทั้งชีวิตจะมีแต่เรื่องเงินและวัตถุ

คนที่มีการออมจิตใจจะสงบ ไม่ว้าวุ่น เป็นการฝึกความอดทน รู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
ถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการ เป็นคนที่ประหยัดอดออม ลูกน้องก็จะเป็นคนที่ประหยัดไปด้วย
เวลาเราเจอคนรวยแล้วขี้เหนี่ยว แต่จริงๆแล้วเขามีระบบการคิดหลายชั้นเพื่อแสดงออกถึงความประหยัด เพื่อที่จะได้ไม่ให้คนอื่นมาเอาเปรียบเขา ขอยืมเงินเขา หรือใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย

ในหนังสือเรื่อง Rich dad, Poor dad จะบอกไว้อย่างชัดเจนเลยว่า คนที่ตั้งใจจะร่ำรวย ประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องระวังเรื่องการผ่อนรถ ผ่อนบ้านไว้ให้ดี ซึ่งคนที่เริ่มจะผ่อนได้แสดงว่าเงินเดือนเริ่มเยอะแล้ว แต่ไม่ได้เยอะจริง ส่งผลให้โอกาสที่จะออกจากงานเป็นไปได้ยากแล้ว ถ้าจะผ่อนอะไร ต้องคิดอย่างชัดเจนก่อนว่าเราจะมีเงินพอ ถ้าจะต้องเปลี่ยนงาน

"มีน้อยใช้น้อย ค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มาก จะยากนาน"

ข้อที่ 5. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creativity) ผู้นำที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์จะก่อให้เกิด แรงดลบันดาลใจแก่คนรอบข้างและลูกน้อง ทำให้ชีวิตมีสีสรรค์ มีเหตุมีผลว่าเราอยู่ไปทำไม ทำงานเพื่อองค์กรนี้ไปทำไม แต่สิ่งที่จะทำให้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เกิดขึ้นได้ ก็คือ

1) เลิกพลัดวันประกันพรุ่ง (น่าสนใจมากๆ) คนที่ดินพอกหางหมู จิตจะไม่ว่างแล้วความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร? คนประเภทวิดัจจริต คิดได้มากมายหลายเรื่อง แต่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรคือไอเดียที่สำคัญ อะไรคือไอเดียที่ไม่สำคัญ คำแนะนำข้อแรกนี้เป็นเหมือนการปูพื้นฐานให้มั่นคง ก่อนที่จะมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ [ความสงบในใจ: Inner Peace >> ปัญญาจะโลดแล่น มองเห็นโอกาสในชีวิต]

2) สังเกตตัวเอง ว่าความคิดดีๆของเรามันพุดขึ้นมาตอนไหน เช่นจากตอนที่เราได้อ่านหนังสือเงียบๆ หรือตอนที่เราได้คุยกับคนที่มีความคิดดีๆ เป็นต้น นักปราชญ์จะบอกไว้ว่าคนฉลาดจะต้องมีสมุดไว้จด ไอเดียที่เข้ามาในหัว เป็นการตอกย้ำความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

3) ย้ำคิดย้ำทำในเรื่องนั้นตลอดเวลา ฉันทะ >> จิตตะ >> วิริยะ >> วิมังสา

4) ความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ต้องคิดจากมโนภาพ จะทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆได้แยบยนมากๆเลย สมมุติว่าเราจะคบใครซักคนหนึ่ง ให้เราลองคิดด้วยภาพ โดยธรรมชาติของมนุษย์เราสามารถที่จะคาดเดาได้ว่า ถ้าพูดสิ่งนั้นออกไป ฝั่งตรงข้ามจะตอบสนองกลับมาอย่างไร [พลังจิตของมนุษย์]

พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เคยบอกพระอานนท์ที่กังวลว่าพุทธศาสนาจะยังคงอยู่ต่อไปหรือไม่ ในวันที่พระพุทธเจ้าได้จากไปแล้ว ไว้เลยว่า "ถ้ายังมีคนจดจำเรื่องสติปัฏฐาน 4 ได้พุทธศาสนาจะยังคงยั่งยืนตลอดไป" 

อินทรีย์ 5 สติ สมาธิ-วิริยะ สัททา-ปัญญา ("-" ตือมาควบคู่กัน) พระพุทธเจ้าเน้นเรื่องวิริยะขอให้เราคิดดี มีความวิริยะ คอยยังประโยชน์ให้กับตัวเราและผู้อื่น เรื่องความคิดเป็นสิ่งที่ต้องระวังมาก ถ้าเราไม่ควบคุมความคิดเนี่ยส่วนใหญ่มันจะเป็นแต่ความคิดที่ไม่ดี เต็มไปด้วย วิวรณ์ 5 ตัวอิจฉา ริษยา, อาคาต พยาบาท, ง่วงหงาวหาวนอน, ฟุ้งซ้าน, กามตันหา ความสงสัยลังเล เกิดขึ้นตลอดเวลา

พระพุทธเจ้าจะให้เรามีสติตลอดเวลา ถ้าเรามีสติความคิดไม่ดีจะเกิดขึ้นไม่ได้ 
"มีแสงส่วงต้องไม่มีความมืด มีความมืดต้องไม่มีแสงสว่าง" Zero Sum Game 
ฝึกจิตของเรา คนที่มีการฝึกจิตมากๆจะมองโลกในแง่ดี มีความเปร่งปรัง มีความสดชื้น เขามีความทุกข์หากแต่ไม่ใส่ใจกับมัน ให้ไปลองคิดดูว่าสิ่งที่กล่าวมานั้นจริงหรือไม่

ข้อที่ 6. จินตนาการ

จินตนาการ (Imagine) หลายคนบอกว่าฝันกลางวันหรือเปล่า (Day Dreaming) สิ่งที่แตกต่างคือฝันกลางวัน ฝันหลายร้อยเรื่องในเวลาเดียวกัน แต่จินตนาการก็คือเพียงเรื่องเดียว 
ให้จินตนาการเรื่องเดียวหลายแง่มุม จดจ่อต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน
และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าว่า ฉันจะต้องทำสิ่งนั้นให้สำเร็จให้ได้
ค่อยๆคิดและคิดด้วยภาพหรือมโนภาพ


 “อันของสูงแม้ปองต้องจิต ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤๅ

ต้องมีการตั้งจิต ไม่งั้นจิตจะไม่เดินชีวิตจะเบื่อหนาย อยู่ไปวันๆ
จินตนาการเรื่องใดอย่าเที่ยวไปบอกใคร โลกภายนอกมีแต่คนที่สนสัย คิดว่าจะเป็นไปได้อย่างไร

ขอขอบคุณ ดร.บุญชัย โกศลธนากุล มา ณ ที่นี้ด้วย
เรียบเรียงใหม่โดย J. Burananit

Wednesday, August 12, 2015

The Law of Success - Napolean Hill (อธิบายโดย ดร.บุญชัย โกศลธนากุล) [ข้อที่ 1, 2]



เป็นหนังสือที่ยอดเยี่ยมอีกเล่มหนึ่ง ซึ่งผมยังไม่มีโอกาสได้อ่าน แต่ได้ฟังการสรุปจากดร.บุญชัย โกศลธนากุล ซึ่งสรุปไว้ได้ดีมาก เสริมแง่คิดต่างๆตามประสบการณ์ของอาจารย์ เลยอยากจะสรุปเรียบเรียงความคิดซักครั้งหนึ่ง ซึ่งไหนๆก็สรุปแล้วก็อยากจะแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่านไปด้วยพร้อมๆกัน หากมีตรงไหนผิดพลาดประการใดพร้อมจะน้อมรับฟังทุกข้อคิดเห็น

หนังสือเล่นนี้ใช้เวลาเขียนถึง 20 ปีเพื่อที่จะสัมภาษณ์คนสำเร็จมากมายจนสรุปเก็นกฎทองคำ (Golden laws) 16 ข้อด้วยกันในบทความนี้จะขอเริ่มแค่ 2 ข้อแรกก่อนนั้นคือ อภิจิตและเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน

"ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้"

ข้อที่ 1 อภิจิต

อภิจิตคือจิตที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ที่มีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ความจริงใจต่อกัน คิดดีต่อกันมากกว่า 2 คนขึ้นไปมารวมกัน เพื่อทำงานบางอย่างให้ประสบความสำเร็จ และยิ่งใหญ่ได้

เหมา เจ๋อตุง ก็ยังเคยบอกไว้ว่า "จิตที่หลอมเป็นหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ มนุษย์สามารถเคลื่อนภูเขาได้ เปลี่ยนทางเดินของแม่น้ำได้"

เพราะเราไม่ใช้ยอดมนุษย์เราสามารถที่จะจิตตกได้ แต่ถ้ามีคนอีกคนหนึ่งคอยช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน คอยฉุดเราขึ้นมาจากวังวนอกุศลทั้งหลายทั้งปวง เราต้องหา Partners ให้ได้

ฝรั่งมีคำหนึ่งที่สำคัญคือ จงแต่งงานกับคนที่เหมาะสมกับเรา (Marry the right person) คือคนที่เวลาเราอยู่ใกล้ ใช้ชีวิตร่วมกันแล้วมีแต่ความสุข >> จนเกิดความสงบภายใน >> ทำให้จิตสามารถมองทุกอย่าง ด้วยความเป็นจริง ชัดเจนได้ ทำเช่นนี้จะมีผลดีผลเสียอย่างไรบ้าง >> เกิดปัญญาขึ้น

ศีล 5 จำเป็นมากๆเลยโดยเฉพาะข้อ 3 และข้อ 4 ถ้าข้อ 3 ผิดข้อ 4 จะตามมาโดยอัตโนมัติเลย จิตจะไม่มีความสงบ กลุ่มอกกลุ่มใจ ระแวง เราจะมีความสุขได้อย่างไร? เราจะต้องรู้ผลกรรมของเราจะเกิดอะไรขึ้น ใช้ทฤษฎี Consequentialism ลองสร้างมโนภาพดูว่าผลจะเกิดอะไร แล้วตัวเรารับผลนั้นได้หรือเปล่า เมื่อนั้นการทำผิดจะสลายหายไป (ให้ศีล 5 เป็นพื้นฐานของทุกอย่างก่อน)

สิ่งที่เหมือนกันย่อมดึงดูดกัน กลุ่มที่นินทาว่าร้ายมักจะจับกลุ่มกัน ขงจื้อบองไว้ว่า "จะคบใครอย่างน้อยที่สุดต้องมีจิตที่เท่าเราหรือสูงกว่าเรา" จิตของคนเรามักจะไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ เราต้องหากัลยาณมิตร มีความเมตตากรุณา ความซื่อตรง ซื่อสัตว์ ไม่หลอกลวง

หาให้เจอคนที่คิดว่าเราจะสามารถแชร์จินตนาการของเราได้ สร้างฝันเราให้เป็นจริง  ควรจะมีคุณธรรมสูงหรือเท่ากับเรา ทำให้จิตวิญญาณของเราสูงขึ้น

ผู้นำจะต้องหล่อหลอมความรู้สึกของทุกคน เป็นเนื้อเดียวกันได้ แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน Team work จะเกิดขึ้นได้หัวหน้าต้องดีเสียก่อน ต้องเอื้ออาทร เข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี No One man show

เรื่องตลกคนไทย 1 คนแข่งกับคนญี่ปุ่น 1 คนคนไทยชนะ แต่ถ้าคนไทย 5 คนเจอกับคนญี่ปุ่น 5 คนคนไทยแพ้ เพราะคนไทยทะเลาะกัน กลับไปสู่ความเป็นไทยจริงๆ พูดให้นุ่มนวล ค่อยๆพูด ตัวสติจะทันสิ่งที่เราพูด ปิยะวาจา ค่อยๆพูดทุกอย่างจะราบลื่น

Logic Lead to Conclusion, but Emotion Lead to Action ผู้นำต้องสามารถพูดบางอย่างที่บาดเข้าไปในจิตใจของพนักงานหรือลูกน้อง ให้อยากที่จะมาร่วมงานกัน นี้หละคือหน้าที่ของผู้นำ ต้องใช้มโนภาพว่าพูดจุดไหนถึงจะเร้าอารมณ์

ข้อที่ 2 เป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน

ชีวิตที่ปราศจากเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน มันไม่ต่างอะไรจากขอนไม้ที่ลอยไปมาอยู่บน พื้นผิวของแม่น้ำ ลมพัดซ้ายก็ไปซ้าย ลมพัดขวาก้ไปขวา ลมพัดแรงก็หมุนติ้ว เริ่มถามคำถาม The Hard Question ว่าอีก 5 ปี 10 ปีคุณอยากมีอะไร คุณอยากเป็นอะไร ถ้าไม่มีเป้าหมายชีวิตมันไม่ Enjoy ถ้าเรามีเป้าหมายเราทำงานก็จะมีกำลังใจ เพราะเราจะรู้ว่างานที่เราทำ เป็นบันไดอีกก้าวหนึ่งเพื่อไปสู่จุดหมาย

การจะหาเป้าหมายให้เจอเราต้องถามตัวเองว่า เรามีความถนัดอะไร เราชอบเรื่องอะไร ลูกบอลสองลูกความชอบกับความถนัด ต้องมีการประสานกันอย่างลงตัว เราจึงจะประสบความสำเร็จ เป็นความปรารถนาที่แรงกล้าจากหัวใจ ไม่ใช่จากสมอง มันกินลึกอยู่นานและไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นสมองเราคิดนุ้นนี้ วันนึงฟุ้งซ้านหกหมื่นเรื่อง

ความชอบเพียงอย่างเดียว แต่ไม่มีความถนัดยากที่จะเจริญก้าวหน้า ถ้า"เราต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ ยากแท้ที่จะเจริญและมั่นคง"

หลายคนไม่รู้ว่าตนเองชอบอะไร ขอให้หัดมองความรู้สึกบ่อยๆ ตากระทบสิ่งนี้เกิดความชอบหรือไม่ชอบ เราจะรู้ว่าเราชอบอะไรต้องหัดมองความรู้สึกบ่อยๆ เราจะรู้ว่าเราชอบอะไรให้ตั้งมั่นในสิ่งนั้น สิ่งที่เราชอบจะทำให้เกิด >> ฉันทะ >> จิตตะ >> วิริยะ >> วิมังสา วิ่งครบกันหมดเลยอิทธิบาท 4 เลย

สิ่งที่เราจะได้รับแน่นอนเลยเมื่อเราโฟกัสแล้ว เราจะเกิดความกระตือรือร้น ดั่งแสงแดดที่ผ่านกระจกนูน กระดาษต้องไหม้ และเราจะมีความสุข คนมาแทะมาว่ามาจิกเรา เราก็ไม่สนใจหลอก เพราะมันเสียเวลา และจิตเราจะมีพลังสมาธิ เกิดจุดสติ เพราะจิตรู้ว่าเรากำลังจะทำอะไรอยู่ แค่คำว่าเป้าหมายตัวเดียวทำให้จิตรวมเป็นหนึ่งได้

เป้าหมายที่ดีนั้นชัดเจนมากๆ จะต้องเป็นมโนภาพ มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า จิตมนุษย์จะสื่อถึงจิตใต้สำนึกได้ผ่านทางภาพหรือมโนภาพ ให้เราเขียนใส่กระดาษและแปะติดไว้ในห้องนอน เห็นไปเรื่อยๆ มองไปเรื่อยๆ ทำให้เรามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในเป้าหมายของเรา ทุกเสียงที่ผ่านมาได้ยิน ทุกภาพที่เราเห็น ทุกกลิ่นที่เราได้ดม ทุกรสที่เราได้สัมผัส ทุกความรู้สึกที่เราสัมผัส จะเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกได้อย่างรวดเร็ว การตัดสินใจต่างๆเกิดจากจิตใต้สำนึกเลย ให้ Visualization สร้างมโนภาพห้เกิดขึ้นภายในหัวของเรา มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดด้วยภาพจึงติดอยู่กับงานประจำหลายสิบปี

เป้าหมายที่ดีต้องเพื่อคนอื่นด้วย ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว ทำเพื่อองค์กร เพื่อนร่วมงาน จิตจึงเป็นจิตที่ใหญ่มาก Think Big คิดถึงผู้อื่นจริง เดี๋ยวคุณก็ได้ผลประโยชน์เอง ถ้าเราทำเพื่อความกินดีอยู่ดี ของเพื่อนมนุษย์ เพื่อความสุขความเจริญของคนรอบข้าง ไม่เรารัดเอาเปรียบ จะเป็นพลังจิตที่สูงสุด ไม่มีใครเอาชนะได้

แต่เท่านั้นยังไม่พอเราต้องมีกลยุทธ์ (Strategy) มีกี่ขั้นตอน แต่เท่านี้ก็ยังไม่พอเราจะต้องมีแผนสำรอง (Contingency Plan or Exit Plan) ทุกอย่างมันไม่ง่ายปานนั้นหลอก ทุกอย่างจะมีอุปสรรคมาขวางกั้นเสมอ

คนเราตายไปลงแค่โรงศพและก็จบไป สิ่งที่เหลือคือชื่อเราผู้คนจะยิ้มแย้มแจ๋มใส ผู้คนเสียใจที่เราจากไป จิตมีเป้าหมายในชีวิต ชีวิตน่าอยู่ สนุกขึ้น

1. เป้าหมายต้องมีความท้าทาย ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่หรือเหมือนคนอื่น "ความงดงามของธรรมชาติ คือความหลากหลายของมนุษย์" ถ้าฉลาดอย่าไปอิจฉาเป้าหมายคนอื่น ความรู้เต็มไปหมดในหัวเราจะแปลงเป็นเงินได้อย่างไร
2. ห้ามลักทรัพย์ คนที่ลักขโมยจิตจะไม่สงบ ชีวิตจะไม่เจริญ

หัดตั้งคำถามด้วยจิตที่สงบๆสบายๆ การตั้งคำถามที่ดีเพียง 1 คำถามดีกว่าการมีคำตอบ 100 คำตอบเสียอีก

ขอขอบคุณ ดร.บุญชัย โกศลธนากุล มา ณ ที่นี้ด้วย
J. Burananit