Saturday, July 25, 2015

ครูสมพร คนสอนลิง



ระหว่างคนเก็บมะพร้าวกับลิงเก็บมะพร้าว คนลงมาบาดเจ็บค่ารักษามากกว่าลิงเก็บแน่นอน แต่ปัญหาก็คือลิงไม่รู้ว่าลูกมะพร้าวลูกไหนควรเก็บหรือไม่ควรเก็บ พอเก็บผิดชาวสวนก็จะลงโทษลิง แต่ลิงมันก็ไม่รู้เพราะไม่มีใครสอนมัน ครูสมพรทนไม่ได้ก็เลยเปิดสถาบันสอนลิงขึ้นมา


Friday, July 24, 2015

เรื่องเล่าของคานธี


วันนี้ได้มีโอกาสฟังเรื่องราวจาก Mr.Jeff Li ผู้ก่อตั้ง KIPP มีเรื่องหนึ่งที่กินใจผมมากและอยากจะแบ่งปันให้เพื่อนๆ คุณลีอธิบายให้เราเข้าใจถึงคำว่า "Be the change" โดยเล่าในสิ่งที่ผมกำลังจะเล่าซ้ำอีกครั้งต่อไปนี้

มีเด็กอยู่คนหนึ่งชอบกินน้ำตาลมาก แม่รู้ว่าถ้าเป็นเช่นนั้นต่อไปมันจะไม่ดีแน่ เลยพยายามทำทุกวิธีแต่ก็ไม่สามารถทำให้เด็กคนนี้เลิกกินน้ำตาลได้ แต่แม่รู้ว่าคานธีเป็นไอดอลของเด็กคนนี้ ถ้าให้คานธีบอกให้เลิกกินน้ำตาล เขาคงจะฟังและทำตามแต่โดยดี

แม่และเด็กก็ได้เดินทางไปไกลเพื่อไปหาท่านมหาตมา คานธี แม่ขอให้คานธี ช่วยบอกเด็กคนนี้ทีเถิดให้เขาเลิกกินน้ำตาลเสียที ท่านคานธีมองหน้าแม่และมองหน้าเด็ก แล้วบอกกลับไปว่าให้ทั้งคู่กลับไปก่อนแล้วอีก 2 สัปดาห์ค่อยกลับมาหาใหม่

แม่ก็งงมาก แต่คานธีพูดอะไรทุกคนก็จะฟัง ทั้งคู่จึงกลับไปผ่านไป 2 สัปดาห์เด็กก็ยังคงกินน้ำตาลอยู่ แม่และเด็กจึงกลับไปหาคานธีใหม่ แล้วบอกว่ารอไป 2 สัปดาห์แล้วเจ้าหนูยังไม่เลิกกินน้ำตาลเลย ท่านคานธีก็มองหน้าแม่แล้วหันไปหาเด็กน้อยแล้วพูดว่า เจ้าหนูเลิกกินน้ำตาลเถอะ เด็กน้อยพยักหน้าแล้วเดินกลับไป

แม่ก็งงมากขึ้นไปอีก งงเหมือนกับที่พวกเราทุกคนกำลังงงอยู่ตอนนี้ นี้มันปริศนาธรรมอะไรกันแน่ ทำไมท่านไม่บอกให้เด็กน้อยเลิกน้ำตาลในครั้งแรกที่เจอทำไมต้องให้ทั้งคู่ลำบากเดินกลับไปกลับมา

ท่านก็บอกว่า เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วท่านบอกให้เด็กเลิกน้ำตาลไม่ได้หลอก แต่ตอนนี้ท่านทำได้แล้วเพราะท่านได้เลิกทานน้ำตาลแล้ว

อันที่จริงเรื่องนี้ผมเคยได้ยินมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ไม่รู้ซึ้งกินใจเท่าครั้งนี้ ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้แทบจะนำมาใช้ได้ทันที่ ไม่ไกลตัวมากนักเราอยากให้คนที่เราทำงานด้วยมาตรงเวลา แต่ถามว่าตัวเราเป็นคนตรงต่อเวลาหรือไม่

สุดท้ายแล้วเราลองกลับไปอ่าน Quote ที่เป็นรูปของบทความนี้ดู เราจะเข้าใจเรื่องนี้กระจ่างในทันที :D

Wednesday, July 22, 2015

เบื้องหลังความสำเร็จโน้ต อุดม แต้พานิช


     ที่บ้านเปิดเดี๋ยว 9 ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่ดูแล้วขึ้นไปอ่านหนังสือแต่ดันติดนั่งยาวเลย แต่ถ้าฟังไปคิดไปมีเรื่องที่น่าสนใจเกิดขึ้นในใจของผม ในความจริงเรื่องบางเรื่องที่พี่โน้ตเล่าชีวิตของตัวเอง ถ้าให้เราเล่าเรื่องราวเดียวกันจากเรื่องตลกอาจจะกลายเป็นเรื่องเศร้าได้เลย

     ระหว่างดูก็เกิดคำถามในใจขึ้น ประวัติคุณตันรู้จากการอ่านหนังสือ ประวัติคุณต๋อบเถ้าแก้น้อยรู้เพราะคนพูดกันเยอะมาก แต่ประวัติพี่โน้ตแทบจะไม่รู้เลย และมันจะดูอัศจรรย์มาก ถ้ามีคนมาบอกเราในช่วงเวลาเดียวกับรูปนี้จะประสบความสำเร็จ จัดแสดงเดี่ยวมีคนมาฟังรอบละ 3000 คนจัดครั้งละ 16 รอบ เรียกได้ว่าแทบจะมีคนยอมเอาเงินมายัดใส่มือคุณโน้ต และขอให้เขาจัดแสดงเดี่ยวให้

     ก็ลองค้นหาข้อมูลในเน็ตดูแต่เหมือนจะไม่ค่อยมีใครสนใจประวัติของพี่เขาเท่าไหร่ ขอยกให้พี่โน้ตเป็นบุคคลสำคัญของประเทศ ประวัติที่รู้มาคราวๆ พี่โน้ตเริ่มจากการเป็นนักวาดการ์ตูน ไปเป็นนักแสดง แล้วผันตัวไปเป็นนักเขียนเพราะความที่เป็นคนรักการอ่าน และเข้าสู่วงการบันเทิงหนึ่งในนั้นคือ ยุทธการขยับเหงือก จนเห็นสแตนอัพคอมเมดี้ครั้งแรกและสร้างเดี่ยวไมโครโฟนขึ้นมา

     การได้รู้ประวัติของคนสำเร็จจะทำให้เราเห็นว่าความสำเร็จมีกระบวนการขั้นตอนการเติบโต หลายคนพยายามหาทางลัด ลดกระบวนการ ลดเวลาความสำเร็จให้สั่นลง สร้างความสำเร็จเพียงเปลือกนอกแต่ไม่ได้ออกมาจากภายใน เมื่อเวลามาถึงความสำเร็จนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน

Monday, July 20, 2015

การนำเสนอตัวเองสำคัญไฉน Elevator Pitch

fpm3.com
     Elevator Pitch คือการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจของคุณให้ผู้มุ่งหวังฟังภายในระยะเวลา 30 วินาที ถามว่ามันสำคัญมากไหมที่เราจะต้องฝึกฝนเรื่องนี้ บางคนคิดว่าการเข้าไปทักคนเป็นงานของการขายสินค้าหรือบริการเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ใช่แม้แต่พนักงานบริษัทก็สามารถใช้ความสามารถนี้ให้เป็นประโยชน์ได้ คุณอาจจะเล่าไอเดียใหม่ให้กับผู้บริหารฟัง เมื่อคุณมีโอกาสเจอผู้บริหารในสถานการณ์ที่เหมาะสม ทักษะนี้อาจทำให้คนที่ไม่ได้เก่งกว่าคุณแต่นำเสนอได้ดีกว่าก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้มากกว่า

     Elevator Pitch สำหรับผมไม่ใช่การเสนอเพื่อขายสินค้าหรือขายตัวเองให้คนอื่นซื้อเพียงอย่างเดียว แต่เราสามารถที่จะนำเสนอตัวเราเพื่อมองหาความต้องการทางธุรกิจของเราได้

     เนื่องจาก Elevator Pitch มีเวลาเพียงประมาณ 30 วินาทีเท่านั้น เราจึงต้องพูดให้น่าสนใจ น่าจดจำและกระชับได้ใจความ ในบทความจะแนะนำเป็นแนวทางเบื้อต้นให้กับคุณผู้อ่านทุกคน

6 ขั้นตอนการสร้าง Elevator Pitch

     1. หาเป้าหมายของเราให้เจอเสียก่อน

     เริ่มต้นการเป้าหมายว่าคุณต้องการพูดสิ่งนี้เพื่ออะไร เพื่อโอกาสทางธุรกิจ? เพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพ? เพื่อความร่วมมือทางธุรกิจ?

    2.  บอกว่าคุณทำอะไร ไม่ใช่คุณเป็นอะไร

     "ผมเป็นนักวางแผนทางการเงิน" "ฉันเป็นนักบัญชี" จะดีกว่าไหมถ้าเราเล่าเรื่องราวของเราให้น่าสนใจขึ้นเป็นแบบนี้ "ผมเป็นนักวางแผนทางการเงิน ผมทำให้แน่ใจว่าลูกค้าจะมีชีวิตยืนยาวไปพร้อมกับเงินของเขา" เล่าในทางที่เราอยากให้คู่สนทนาจดจำเรา ใส่เรื่องสถิติหรือความสำเร็จที่เราทำ ความตื่นเต้นสำคัญมาก ถ้าเราไม่ตื่นเต้นคนฟังก็ไม่ตื่นเต้นเช่นกัน ข้อควรระวังเมื่อเราคิดบทพูดขึ้นมาแล้วพยายามพูดให้เป็นธรรมชาติที่สุด

     3. สื่อสารเรื่องความพิเศษของตัวเราหรือธุรกิจของเรา

     หาให้เจอว่าอะไรคือจุดแข็งของเรา และมันจะสร้างรายได้ให้กับเราได้อย่างไร และที่สำคัญเรามีความรัก (passion) ในสิ่งนั้นจะยิ่งเป็นแต้มต่อให้กับเราได้ในระยะยาว

     4. ถามคำถามปลายเปิด สร้างความมีส่วนร่วม

     เป็นโอกาสให้เราสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการสนธนา หาความต้องการของเขาได้ รูปแบบการสนทนาเปลี่ยนไปตามคู่สนทนาของเรา หากเรามีความสามารถในการอ่านคนได้จะช่วยได้มาก คนนี้ชอบการชมหรือชอบให้เข้าประเด็นทันที

     5. รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน

     หลังจากคิดสิ่งที่จะพูดทั้งหมดแล้วให้รวมสิ่งที่ต้องการจะสื่อ แล้วทดลองพูดให้ไม่เกิน 20 - 30 วินาที หากเกินกว่านี้ ความน่าสนใจในการนำเสนอของเราจะเสียไป ลองตัดบางสิ่งที่ไม่จำเป็นในบทสนทนาของเรา

     6. ฝึกฝน

     ทำซ้ำ, ทำซ้ำ, ทำซ้ำ และ ทำซ้ำ ฝึกฝนจนชำนาญการที่ทำซ้ำ ทำให้เราเกิดความมั่นใจมากขึ้นและพร้อมรับกับสถานการณ์ที่เราไม่คาดได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร ลองฝึกฝนกับหน้ากระจกว่าภาษากายของเราดีแล้วหรือยัง ลองดูว่าการยิ้มตอนช่วงไหนกำลังดี ดูเป็นคนมีความมั่นใจ น่าเกรงขามและอ่อนโยนในขณะเดียวกัน และที่สำคัญพยายามออกสนามบ่อยๆ คนที่ซ้อมกับตัวเอง กับคนที่ซ้อมกับสร้าง ประสบการณ์แบบหลังทำให้เราเติบโตได้มากกว่า


แหล่งข้อมูล: http://www.mindtools.com/pages/article/elevator-pitch.htm,
http://www.forbes.com/http://www.fastcompany.com

Sunday, July 19, 2015

Review: How Starbucks save my life (ชีวิตผมรอดได้ด้วยสตาร์บัคส์)



     ผมได้ยินหนังสือเล่นนี้จากพี่ท่านหนึ่งมานานแล้ว หนังสือเริ่มต้นได้น่าสนใจมาก ไมเคิล (Michael) ทำงานอยู่บริษัททำโฆษณาแห่งหนึ่ง เขาเริ่มต้นในสมัยที่วงการสื่อกำลังรุ่งเรืองเพราะโทรทัศน์ แต่กลับถูกไล่ออกโดยเด็กสาวที่เขาเคยช่วยให้เธอได้ทำงานที่เดียวกับเขา เพราะความที่เขาเงินเดือนสูงเกินไปและผลงานที่เขาทำได้กับคนรุ่นใหม่ไม่ได้แตกต่างกันมาก ชีวิตที่รุ่งโรจน์ลงมาถึงจุดต่ำสุดเมื่อเขามีลูกนอกสมรสและต้องแยกทางกับภารยาพร้อมทั้งยกสมบัติทั้งหมดให้เธอดูแลลูกทั้ง 4 คน

     หนังสือเล่มนี้ให้แง่มุมเรื่องความเคารพ ไมเคิลเกิดและเติบโตในชีวิตของคนชั้นสูงผิวขาว ก่อนจะโดนออกจากบริษัทก็ทำงานอยู่ในตำแหน่งสูงๆ ซึ่งเขาเล่าและรู้ตัวเองว่าหัวโขนของเขาเยอะมาก แต่ Starbucks เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เขาคว้าไว้ได้ แต่ความเคารพผู้อื่นไม่ว่าคนคนนั้นจะยากดีมีจนอย่างไร มันส่งผลที่น่าประหลาดใจแก่ไมเคิลอย่างมาก ทุกคนไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์ต่างให้ความเคารพและชื่นชมเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นเลยในบริษัทเดิมที่การชื่นชมจะเป็นภัย

     ความสุขที่ไมเคิลเจอ การทำงานเป็นคนถูพื้นหรือบาริสต้านั้นไม่ใช่งานที่สูงส่งเลย แต่เขากลับรู้สึกมีความสุขมาก วัยรุ่นอย่างพวกเราพยายามบินให้สูงแต่ที่สำคัญก็อย่าลืมถามใจตัวเอง เรามีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่หรือเปล่า

     เคยมีคนบอกกับผมว่าการทำงานหนักตอนที่เรามีลูกต้องดูแลแล้ว ไม่ได้อยู่กับเขาตลอดนั้นไม่ได้ทำให้เขาเสียคนหลอก ขอให้เรามีเงินพร้อมที่จะดูแลพวกเขาในตอนโตดีกว่าไหม ครับผมเชื่อด้วยหัวใจทั้งหมดที่มีว่าเราจะทำให้ดีที่สุดให้กับคนที่เรารัก ในหนังสือเล่มนี้จะให้อีกมุมมองนึงของคนทำงานหนัก จนขนาดที่ว่าก้มหน้าก้มตาทำแต่พอเงยหน้าขึ้นมาลูกๆก็โตหมดแล้ว ลูกแต่ละคนของไมเคิลเติบโตไปอย่างสำเร็จในชีวิต แต่เขาก็รู้ตัวที่ได้พลาดบางสิ่งไปเมื่อตอนที่เขาได้มีเวลาดูแลลูนอกสมรสของเขา มันคงเป็นคำบรรยายที่บอกไม่ถูกและคงมีค่ามากจริงๆ ความทรงจำในตอนที่พวกเขายังเด็กอยู่นั้นมีค่าและไม่อาจหวนคืนมาได้

     สิ่งที่ชอบมากที่สุดจากการอ่านหนังสือเล่มนี้คือการใช้ชีวิตหลังเกษียร อย่างมีค่ากับผู้อื่นและตนเอง ผมมานั่งนึกว่าชีวิตหลัง 60 ของตัวเองไปแล้วถ้าทำตามคนทั่วไปคือพัก ท่องเที่ยวหรือคอยดูความสำเร็จของลูกหลาน เท่านั้นมันคงไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มผมให้เต็มได้ ถึงตอนนั้นผมคงจะทำงานต่อไป ไม่ว่ามันจะใหญ่หรือเล็ก มีเกียติมากน้อยแค่ไหน ไม่แน่พออายุ 60 คุณอาจจะเห็นผมทำงานเสิร์ฟกาแฟอยู่ที่ Starbucks ก็ได้นะ :)

Saturday, July 18, 2015

เรื่องราวของ GoPro


"ทุกความเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งโอกาส ผู้ได้ประโยชน์และคนเสียประโยชน์เสมอ"

   
     วันนี้ผมได้ไปฟังสัมมนาของทาง บล.ธนชาติ มาเกี่ยวกับการลงทุกเน้นคุณค่าหรือ VI (Value investment) คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ เป็นคนเล่าบรรยายเปิดงาน ซึ่งผมก็ไม่รู้จักว่าเขาเป็นใคร แต่ก็ได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการมองโอกาสพอสมควร

     ซึ่งผมก็มาลองกลั่นกรองและมองสิ่งที่อยู่รอบตัวดู สังคมโลกโซเชียลที่เราใช้กันอยู่ ผมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก แต่จริงๆแล้วสิ่งที่คนโพสค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป เด็กเจน Y เริ่มลงภาพการท่องเที่ยวของตัวเองมากขึ้น คงเพราะสายการบิน Low cost ที่ใครก็บินได้แข่งขันกันลดราคาอย่างดุเดือด แล้วใครได้ประโยชน์กับเรื่องนี้คงเป็น AOT (Airport of Thailand) เพราะสายการบินแข่งขันกันลดราคากันมากแค่ไหน ค่าที่สนามบินเก็บก็เท่ากันหมดทุกประเภทของเครื่องบิน แต่มารู้ตัวตอนนี้อาจจะเริ่มสายไปซักหน่อย Facebook นี้ก็ให้ข้อมูลที่น่าสนใจของผู้บริโภคชั้นยอดเหมือนกันนะเนี่ย :)

     ลองมองดูรอบตัวก็ได้เห็นเรื่องตลกด้วยเช่นกัน ผมเป็นคนที่ค่อนข้างรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีได้ช้า เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ก็จะเป็นกล้อง GoPro ออกมา ไม่รู้ว่าทุกคนรู้จักที่มาของเจ้ากล้องนี้หรือไม่ ราคาก็ค่อนข้างสูงเช่นกันแต่คนก็แฮ่กันไปซื้อ

     เรื่องเริ่มต้นด้วยคุณ Nick Woodman CEO ของ GoPro ก่อนหน้านั้นเขาเป็นคนที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จในชีวิตเอาเสียเลย ที่รู้เคยเปิดบริษัทมาแล้ว 2 บริษัทแต่ก็เจ๋งไม่เป็นท่า Nick ชอบการเล่นโต้คลื่นมากและอยากที่จะเก็บวีดีโอการเล่นโต้คลื่นของตัวเองไว้ จึงตัดสินใจเก็บ "เปลือยหอย" ร้อยเป็นสร้อยขายเพื่อเก็บเงินประดิษฐ์เจ้ากล้อง GoPro ขึ้นมา แล้วสุดท้ายขายบริษัทออกไปด้วยมูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ

     เรื่องนี้สอนให้รู้อะไรบ้าง เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการดำเนินธุรกิจด้วย Passion หรือแรงบันดาลใจ และโอกาสมีอยู่รอบตัวขอให้เราเอ๊ะใจ บวกกับตั้งคำถามดีๆให้กับสิ่งที่เกิดขึ้น

ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Nick_Woodman

Wednesday, July 15, 2015

พลังแห่งจินตนาการ



     ผมเข้าร่วมสัมมนา อ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง ฟังไฟล์เสียงของอาจารย์บัณฑิต ก็เยอะพอสมควร สิ่งที่จับประเด็นได้นั้นมีเรื่องหนึ่งที่สงสัยมาตลอด นั้นคือการฝึกฝนพลังแห่งการจินตนาการ 

     มนุษย์เรามีสมองที่น่าอัศจรรย์มาก เราสามารถจินตนาการถึง "ช้างตัวใหญ่ ที่มี 3 ขากำลังห้อยตัวอยู่กลางอากาศ" ไม่เชื่อคุณก็ลองดูกับตัวเองก็ได้ แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือเราสามารถใช้จินตนาการในการฝึกฝนภายในจิตใจได้

     เคยมีการทดลองเกี่ยวกับเรื่องจินตนาการอยู่ เป็นการทดลองกับนักบาสเก็ตบอล 3 กลุ่ม กลุ่มแรกจะทำการซ้อมในความเป็นจริง ส่วนกลุ่มสองจะซ้อมภายในจิตใจหรือจินตนาการ กลุ่มสุดท้ายจะไม่ทำการซ้อมใดๆเลย ผลที่เกิดขึ้นก็คือ สองกลุ่มแรกให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน แต่กลุ่มสุดท้ายความสามารถตกลงอย่างเห็นได้ชัดเจน

     การจินตนาการยิ่งภาพชัดเจนเท่าไร ผลที่ได้ยิ่งใกล้เคียงมากเท่านั้น เรื่องนี้จะนำไปสู่กฎแรงดึงดูดต่อไปหลายคนอาจจะรู้จักในหนังสือ "The top secret" และถ้าเราจินตนาการได้เกินขีดจำกัดของร่างกายที่คิดว่าจะไปถึงได้เราจะไปได้ตามที่เราจิตนาการไว้

     ผมลองทดลองพลังแห่งการจินตนาการกับตัวเองดู ผมสอบปฏิบัติขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไม่ผ่านในครั้งแรกทั้งคู่ และมีเพียงอย่างละท่าเท่านั้นที่ยังทำไม่ได้ ครั้งที่ 2 ผมจึงลองใช้พลังแห่งการจินตนาการดู แต่ผลปรากฎว่าผมก็ยังทำไม่ได้เช่นเดิม พี่ที่ไปด้วยกันบอกผมว่าผมตื่นเต้นกับคนที่อยู่ข้างสนาม แต่ผมถามใจตัวเองแล้วไม่ใช่แน่นอน (ความรู้สึกจริงกว่าความคิด) ครั้งนี้จึงกลับมานั่งคิดว่าทำไมมันจึงไม่ได้ผล ถึงผมจะบอกว่าเองว่าไม่ตื่นเต้น แต่ผมไม่ได้มั่นใจ ช่วงนั้นได้ดู TED talk พอดีเรื่อง The skill of self confidence โดย Dr. Ivan Joseph


     ดอกเตอร์กล่าวถึงการสร้างความมั่นใจด้วยความเรียบง่ายมากๆ นั้นคือการทำซ้ำ ทำซ้ำและทำซ้ำ เมื่อผมทำซ้ำจนมั่นใจแล้วว่าทำแบบนี้ผ่านแน่นอน ผมก็มีความมั่นใจมากขึ้นในการสร้างพลังแห่งการจินตนาการภายในใจดู ก่อนสอบผมไม่ได้ซ้อมอะไรเลยเพียงจินตนาการ 3-4 รอบในใจแล้วลงสนามเลย ผมก็คือผมผ่านการสอบทั้งคู่เลย

...จนถึงตอนนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าพลังแห่งการจินตนาการหรือพลังแห่งการทำซ้ำอย่างไหนทรงพลังกว่ากัน แต่ผมเชื่อว่านักบาสเก็ตบอลกลุ่มที่สองคงไม่ได้ไม่เคยเล่นบาสเลยและเอาแต่จินตนาการจนทำได้ จินตนาการควรมาพร้อมกับทักษะในด้านนั้นด้วย


วันที่ 2 ของการกินมังสวิรัติ: หาข้อมูลของแหล่งโปรตีน

โปรตีนสำคัญต่อร่างกายมากแต่เรามักจะกินขาดไปอยู่เสมอ ซึ่งหลักการคำนวณง่ายที่สุดคือปริมาณโปรตีน 0.8 - 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม อาหารเนื้อและผักแต่ละประเภทมีโปรตีนเท่าไรบ้างไปดูกันจะได้พอมีตัวเลขคล้าวๆไปคำนวณ

สุดยอดแหล่งโปรตีนจากธรรมชาติ
http://www.lovefitt.com/
แต่ในความเป็นจริงแล้วแค่การคำนวณประมาณโปรตีนอย่างเดียวอาจจะไม่แม้นยำมากนัก เพราะหน่วยที่เล็กที่สุดที่ร่างกายต้องการนั้นคือกรดอะมิโนและที่ขาดไม่ได้เลยคือกลุ่มกรดอะมิโนจำเป็น บางตัวมีมากในเนื้อสัตว์บางตัวมีมากในพืช ทำให้เราต้องเลือกกินอาหารให้หลากหลาย กรดอะมิโนจำเป็นมีอะไรบ้างไปดูกัน

กรดอะมิโนจำเป็น

  • ทริปโตเฟน (Tryptophan) ลดความเครียด บรรเทาอาการไมเกรน ช่วยส่งเสริมการนอนหลับอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ทรีโอนีน (Threonine) ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ช่วยเผาผลาญไขมัน และมีส่วนสำคัญในการสร้างกรดอะมิโนอย่าง ไกลซีน และ เซรีน
  • ฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) เพิ่มความตื่นตัวเสริมความจำ บรรเทาอาการซึมเศร้า ลดความอยากอาหาร และช่วยเพิ่มความสนใจในเรื่องเพศ
  • เมไธโอนีน (Methionine) เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระอันทรงพลัง และช่วยในการย่อยสลายไขมัน
  • ลิวซีน (Leucine) ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง เพิ่มพลังให้กล้ามเนื้อ และช่วยให้เซลล์ประสาทแข็งแรงขึ้น
  • ไลซีน (Lysine) ช่วยเสริมสมาธิ ช่วยป้องกันโรคเริมและโรคกระดูกพรุน บรรเทาปัญหาด้านการสืบพันธุ์
  • วาลีน (Valine) ช่วยกระตุ้นสมรรถนะของสมอง และช่วยประงานกันของกล้ามเนื้อ
  • ไอโซลิวซีน (Isoleucine) ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต และเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท ช่วยพัฒนาการเรียนรู้
  • ฮิสทิดีน (Histidine) เป็นกรดอะมิโมจำเป็น สำหรับทารกและเด็กเท่านั้น*

แต่ถึงรู้เช่นนี้เราก็ยังคงไม่รู้ว่าจะต้องทานอาหารอะไรที่ให้กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายของแต่ละคน
ให้ลองเข้าไปที่ link นี้




ใส่น้ำหนักตัวของเราลงไปเวปจะคำนวณให้เรา สมมุติเต้าหู้เราต้องกินปริมาณเท่าไรจึงจะให้กรดอะมิโนจำเป็นเพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ

แถมให้อีกหนึ่งเวปที่จะคำนวณไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีนและแคลอรี่ให้ได้ด้วย
http://www.runningtools.com/calorietable.htm

แหล่งข้อมูล
http://frynn.com
http://www.onegreenplanet.org/natural-health/need-protein-amino-acids-found-abundantly-in-plants/
http://www.health-alternatives.com/meat-protein-nutrition-chart.html
http://www.ketogenic-diet-resource.com/protein-chart.html


Tuesday, July 14, 2015

วันที่ 1 ของการกินมังสวิรัติ: เริ่มสังเกตุจิตตัวเอง


     อยู่ดีๆก็เกิดอยากหักดิบงดกินเนื้อขึ้นมาบอกแม่ว่าจะของดเนื้อ 1 เดือนแต่คิดว่าถ้าทำได้นานกว่านั้นก็จะทำ เรื่องมันมีอยู่ว่าได้เข้าสัมมนาของพี่บี เขาบอกว่าเขากินมังสวิรัติเพื่อฝึกฝนจิตใจของตัวเอง ก็เลยกะว่ามีเวลาซักวันหนึ่งจะลองทำบ้าง

     แล้วในเช้าวันหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแม่ซื้อโจ๊คหมูสับมาให้ทาน ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ได้อร่อยเท่าไหร่ กินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน แต่วันนั้นดันลองดูจิตของตัวเองเวลากินแล้วพบว่า หมูมันคาวนะ ไม่อร่อย ไม่ชอบ เลยคิดว่ากินเลยก็แล้วกันคงไม่ได้ลำบากมากนักปกติก็กินข้าวบ้านไม่ก็อาหารตามสั่ง

     วันนี้ก็จัดแต่เช้ากินอะไรก็ได้ที่ไม่มีเนื้อเน้นไข่กับนมเป็นหลัก แต่กังวลมากที่สุดคือโปรตีนไม่เพียงพอต่อร่างกาย พยายามคำนวณแล้วกินเพิ่มในส่วนที่ขาดมาตลอด

     สิ่งที่สังเกตเห็นทันทีเลยตั้งแต่เริ่มกินคือจิตเริ่มสังเกตเห็นอาหารที่มีเนื้อรอบตัวมากขึ้น ไก่ทอดที่แม่ทำตอนเย็นให้น้อง สปากเก็ตตี้ลูกชิ้นเนื้อลูกใหญ่มากในหน้าเฟสบุ๊ค เกิดความคิดที่ช้าลงกว่าปกติเล็กน้อยเพราะต้องคอยคิดว่ากินถูกหรือไม่ อันที่จริงแล้วรู้สึกดีมากขึ้นเพราะปกติเวลากินอาหารจะไม่รู้สึกตัวถึงการกิน กินอะไรเข้าไป หวาน มัน เค็ม ระดับไหน เย็นหรือร้อน และการกินเช่นนี้หวังว่าจะช่วยล้างร่างกายให้ดีขึ้นเป็นลำดับ

     ในตอนต่อไปจะเริ่มศึกษาแหล่งโปรตีนอย่างจริงจังเพราะต้องทานให้เพียงพอต่อร่างกาย

Monday, July 13, 2015

I wanna try new method of learning Language


Last year, I met the guy who can speak in 10 languages!. He gave me and my friend a suggestion. Today, I want to prove his theory by doing it by myself.

20 HOURS

grin emoticon 20 HOURS
grin emoticon By Josh Kaufman.
penguin emoticon 10,000 hours, it's the time which you have to spend to expert something, isn't for doing something good. Have you ever heard this thing?
gasp emoticon When I heard about it, I was like "wow, I need more 100 years for learning whatever I want.". I don't have time, noooooo!
unsure emoticon Actually, 10000 hours is for expert level performance, world class musician, football player, etc. But, we can practice new skill by just spending 20 hours or 45 minutes a day for a month. grin emoticon
sunglasses emoticon Firstly, you should deconstruct the skill. Because, we might expect something which is compounded by many set of skills.
sunglasses emoticon Secondly, you should learn enough to self-correct. It's not necessary that you must know every function of which computer language, you want to learn.
sunglasses emoticon Thirdly, you must remove everything might disturb you when you practice like internet, TV, etc.
sunglasses emoticon And the last one, practice at least 20 hours.

Sunday, July 12, 2015

The "Last Lecture" by Randy Pausch

Experience is what you get when you didn't get what you wanted -Randy Pausch 


Friday, July 10, 2015

4 ขั้นตอนทวีทักษะความเป็นผู้นำในตัวคุณ


"หากคุณเป็นคนที่เก่งมากแต่น้อยคนที่เข้าถึงความเก่งนั้นได้ 
ทักษะที่คุณมีเลยไม่สามารถสร้างคุณค่าได้มากเท่าที่ควรจะเป็น"

     ผมพยายามที่จะศึกษาเรื่องของพลังทวี เพื่อจะย้นระยะเวลาความสำเร็จของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จเล็กหรือใหญ่ ผมเชื่อว่าหากเรารู้ความลับบางอย่างและลงมือทำอย่างจริงจัง มันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตของเราได้มหาศาล


ข้อที่ 1 ค้นหาความสำเร็จที่คุณต้องการสร้าง

คุณกำลังเป็นผู้นำในแบบที่คุณวาดฝันไว้หรือเป็นไปตามธรรมชาติ?

เรื่องนี้คือความไม่ชัดเจนของเป้าหมาย เราไม่รู้ว่าคุณค่าที่เราสร้างขึ้นจะมีความแตกต่างอย่างไร อย่าจมอยู่กับเป้าหมายในอนาคตที่ไม่ชัดเจนและพยายามทำให้ดีที่สุด การทำให้ดีที่สุดนั้นไม่ใช่แผนที่ดีและแผนที่ดีเกิดจากเป้าหมายที่ชัดเจน

ผมอยากให้ลองตอบคำถามดังต่อไปนี้กับตัวคุณเอง


  • อะไรคือเป้าหมายหรือผลลัพธ์ที่สำคัญที่คุณต้องการที่จะบรรลุ?
  • คุณสร้างความแตกต่างที่เฉพาะเจาะจงอะไรต่อที่ทำงาน สังคมหรือสาขาอาชีพของคุณ?
  • อะไรเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดที่คุณหวังว่าจะแก้ไข?
  • โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่คุณต้องการจะไขว้ขว้าไว้คืออะไร?
  • อะไรที่คุณอยากทิ้งไว้เป็นตำนาน?

ขั้นตอนที่ 2 การสื่อสารถึงความสามารถของคุณ

     การมีโอกาสที่ได้ขึ้นพูดบนเวทีเป็นสิ่งที่มีค่ามาก บ่อยครั้งที่ผมพบว่าคนที่ออกไปพูดไม่ได้พูดดีไปกว่าผมซักเท่าไหล แต่ทำไมเขาถึงได้โอกาสนั้นไป โอกาสที่ได้ฝึกการพูดต่อหน้าผู้คน โอกาสในการเอาชนะความกลัวของตัวเอง โอกาสที่จะได้แสดงความสามารถให้ทุกคนได้รับรู้

     ผู้ตามมักจะตัดสินผู้นำจากความสามารถในการสื่อสารกับกลุ่มคน โดยทางจิตวิทยาแล้วผู้ที่ออกไปพูดต่อหน้าคนเป็นจำนวนมาก มีโอกาสสูงที่ผู้ฟังจะคิดว่าเราเก่งกว่าปกติ ถ้าให้ดีที่สุดเราควรจะเตรียมพร้อมกับโอกาสเสมอ เพื่อให้สิ่งที่สื่อสารออกมาดียิ่งขึ้นด้วย


ขั้นตอนที่ 3 ความคิดเชิงรุก

     ความคิดเชิงรุกเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการบรรลุเป้าหมาย แต่ในความเป็นจริงแล้วคนส่วนใหญ่มักจะคิดแบบเชิงรับ ตอบสนองต่อวิกฤต โอกาส สถานการณ์หรือความต้องการ

ผมอยากให้ลองตอบคำถามดังต่อไปนี้กับตัวคุณเอง
  • อะไรที่คุณได้เรียนรู้เมื่อเร็วๆนี้?
  • คุณสามารถเพิ่มความสำเร็จโดยการลดการลงมือทำได้หรือเปล่า?
  • อะไรคือโอกาสที่คุณรู้สึกพลาดไป?
  • กิจกรรมหรือกระบวนการอะไรที่ใช้เวลาของคุณมากเกินความจำเป็น? (ผมได้แนะนำวิธีการจัดการเวลาไว้ในหัวข้อ "การจัดเวลางานส่วนตัวให้มีประสิทธิภาพสูงสุด"
  • อะไรเป็นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เราสามารถหลีกเลี่ยงมันได้หรือไม่?
  • อะไรคือการเปลี่ยนแปลงที่เราสร้างกับโลกไปนี้ผ่านงานหรือธุรกิจของเรา?

ขั้นตอนที่ 4 สร้างสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง

     ผู้นำที่ยิ่งใหญ่สามารถสร้างความสำเร็จแบบทวีคูณได้เพราะการสร้างสายสัมพันธ์ อย่างเช่นอาจารย์บัณฑิตตามหาครูที่เป็นวาทยากรระดับโลกมาเป็นพี่เลี้ยงให้ และประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ในระดับที่เรามีหน้าที่เป็นผู้นำการรักษาสายสัมพันธ์กับลูกน้อง เป็นการลงทุนที่ไม่อาจจะประเมิณค่าได้

     ผู้นำที่ดีจะไม่มุ่งแต่เพียงเป้าหมายอย่างเดี่ยว พวกเขาให้ความสำคัญต่อสายสัมพันธ์มาก อันที่จริงแล้วมันเป็นสิ่งทุ้นแรงเราได้มากกว่าการที่ทำงานหนักด้วยตัวคนเดียว คุณภาพของคนที่คุณรู้จักนั้นก็สำคัญเช่นกันไม่ใช่ว่าเราจะเป็นเพื่อนกับทุกคนบนโลก แต่ผมก็มีเกณฑ์ที่เรียบง่ายเวลาเลือกคบใครถ้าเขาคนนั้นเป็นคนดีผมจะขอรักษาสายสัมพันธ์ไว้ตลอดไป

แนวคิดจาก: Four Ideas to Leverage Your Leadership

Wednesday, July 8, 2015

ุ625 คำพื้นฐานที่สำคัญในทุกภาษา

"สิ่งที่สำคัญสำหรับภาษาคือการสื่อสารให้ผู้ฟังเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ
ส่วนความถูกต้องของการใช้ภาษาเป็นเรื่องที่รองลงมา"

Photo: Pixabay


     ด้านล่างเป็นคำศัพท์ 625 คำแบ่งตามหมวดหมู่ที่จะเป็นพื้นฐาให้เราเรียนรู้ภาษาใหม่ๆได้สนุกขึ้น 
เรียกได้ว่ารู้เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเอาตัวรอดได้แล้ว

Animal: dog, cat, fish, bird, cow, pig, mouse, horse, wing, animal

Transportation: train, plane, car, truck, bicycle, bus, boat, ship, tire, gasoline, engine, (train) ticket, transportation

Location: city, house, apartment, street/road, airport, train station, bridge, hotel, restaurant, farm, court, school, office, room, town, university, club, bar, park, camp, store/shop, theater, library, hospital, church, market, country (USA, France, etc.), building, ground, space (outer space), bank, location

Clothing: hat, dress, suit, skirt, shirt, T-shirt, pants, shoes, pocket, coat, stain, clothing

Color: red, green, blue (light/dark), yellow, brown, pink, orange, black, white, gray, color

People: son*, daughter*, mother, father, parent (= mother/father), baby, man, woman, brother*, sister*, family, grandfather, grandmother, husband*, wife*, king, queen, president, neighbor, boy, girl, child (= boy/girl), adult (= man/woman), human (≠ animal), friend (Add a friend’s name), victim, player, fan, crowd, person

Job: Teacher, student, lawyer, doctor, patient, waiter, secretary, priest, police, army, soldier, artist, author, manager, reporter, actor, job

Society: religion, heaven, hell, death, medicine, money, dollar, bill, marriage*, wedding*, team, race (ethnicity), sex (the act), sex (gender), murder, prison, technology, energy, war, peace, attack, election, magazine, newspaper, poison, gun, sport, race (sport), exercise, ball, game, price, contract, drug, sign, science, God
Art: band, song, instrument (musical), music, movie, art

Beverages: coffee, tea, wine, beer, juice, water, milk, beverage.

Food: egg, cheese, bread, soup, cake, chicken, pork, beef, apple, banana, orange, lemon, corn, rice, oil, seed, knife, spoon, fork, plate, cup, breakfast, lunch, dinner, sugar, salt, bottle, food.


Home: table, chair, bed, dream, window, door, bedroom, kitchen, bathroom, pencil, pen, photograph, soap, book, page, key, paint, letter, note, wall, paper, floor, ceiling, roof, pool, lock, telephone, garden, yard, needle, bag, box, gift, card, ring, tool

Electronics: clock, lamp, fan, cell phone, network, computer, program (computer), laptop, screen, camera, television, radio

Body: head, neck, face, beard, hair, eye, mouth*, lip*, nose, tooth, ear, tear (drop), tongue, back, toe, finger, foot, hand, leg, arm, shoulder, heart, blood, brain, knee, sweat, disease, bone, voice, skin, body

Nature: sea*, ocean*, river, mountain, rain, snow, tree, sun, moon, world, Earth, forest, sky, plant, wind, soil/earth, flower, valley, root, lake, star, grass, leaf, air, sand, beach, wave, fire, ice, island, hill, heat, nature

Materials: glass, metal, plastic, wood, stone, diamond, clay, dust, gold, copper, silver, material

Math/Measurements: meter, centimeter, kilogram, inch, foot, pound, half, circle, square, temperature, date, weight, edge, corner

Misc Nouns: map, dot, consonant, vowel, light, sound, yes, no, piece, pain, injury, hole, image, pattern, noun, verb, adjective

Directions: top, bottom, side, front, back, outside, inside, up, down, left, right, straight, north, south, east, west, direction.

Seasons: Summer, Spring, Winter, Fall, season.

Numbers: 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21, 22, 30, 31, 32, 40, 41, 42, 50, 51, 52, 60, 61, 62, 70, 71, 72, 80, 81, 82, 90, 91, 92, 100, 101, 102, 110, 111, 1000, 1001, 10000, 100000, million, billion, 1st, 2nd, 3rd, 4th, 5th, number.

Months: January, February, March, April, May, June, July, August, September, October, November, December

Days of the week: Monday, Tuesday, Wednesday, Thursday, Friday, Saturday, Sunday

Time: year, month, week, day, hour, minute, second , morning, afternoon, evening, night, time

Verbs: work, play, walk, run, drive, fly, swim, go, stop, follow, think, speak/say, eat, drink, kill, die, smile, laugh, cry, buy*, pay*, sell*, shoot(a gun), learn, jump, smell, hear* (a sound), listen* (music), taste, touch, see (a bird), watch (TV), kiss, burn, melt, dig, explode, sit, stand, love, pass by, cut, fight, lie down, dance, sleep, wake up, sing, count, marry, pray, win, lose, mix/stir, bend, wash, cook, open, close, write, call, turn, build, teach, grow, draw, feed, catch, throw, clean, find, fall, push, pull, carry, break, wear, hang, shake, sign, beat, lift

Adjectives: long, short (long), tall, short (vs tall), wide, narrow, big/large, small/little, slow, fast, hot, cold, warm, cool, new, old (new), young, old (young), good, bad, wet, dry, sick, healthy, loud, quiet, happy, sad, beautiful, ugly, deaf, blind, nice, mean, rich, poor, thick, thin, expensive, cheap, flat, curved, male, female, tight, loose, high, low, soft, hard, deep, shallow, clean, dirty, strong, weak, dead, alive, heavy, light (heavy), dark, light (dark), nuclear, famous

Pronouns: I, you (singular), he, she, it, we, you (plural, as in “y’all”), they.

Monday, July 6, 2015

การนอนไม่เหมาะสมทำให้เราตายก่อนวัย...เราควรจะนอนวันละเท่าไหร่?

Photo: Becky Wetherington/Flickr, CC BY-SA

"เวลาของเราส่วนใหญ่ 1 ใน 3 หมดไปกับการนอน 

เชื่อว่ามีบางคนพยายามที่จะใช้เวลานอนให้น้อยที่สุดเพื่อจะทำงานมากขึ้น 

แต่จริงๆแล้วเราควรจะใช้เวลานอนเท่าไหลกันแน่?"


     เรื่องนี้ต่อเนื่องมาจาก "การจัดเวลางานส่วนตัวให้มีประสิทธิภาพสูงสุด" จากบทความตอนที่แล้ว ในบทความนี้จะบอกถึงเวลาในการนอนที่เหมาะสม และถ้าใช้ช่วงเวลานอนไม่เหมาะสมจะเกิดอะไรขึ้น

     โดยเฉลี่ยแล้วการนอนวันละ 8 ชั่วโมงเป็นสิ่งที่เหมาะสมและใช้เป็นเกณฑ์ได้กับทุกวัย แต่จากการศึกษาระยะเวลาในการนอนของแต่ละช่วงอายุนั้นแตกต่างกัน ข้อมูลจากการศึกษาของ National Sleep Foundation พบว่าระยะเวลาที่เหมาะสมนั้นเป็นไปตามรูปด้านล่างนี้
Picture: sleepfoundation.org
     แต่ถ้าเราไม่สามารถที่จะนอนได้ตามช่วงเวลาที่ได้มีการศึกษาไว้ผลที่ตามมาก็คือโรคหลอดเลือดสมอง จากผลการวิจัยโดยเฉลี่ยทุกวัยตั้งแต่อายุ 30 ถึงอายุ 102 ปี หญิงและชายที่มีอัตราการตายต่อวันน้อยที่สุด พบว่าคนเหล่านี้ใช้ระยะเวลาในการนอนอยู่ที่ 7 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนที่ใช้เวลานอนเกินเวลา 8 ชั่วโมงต่อวันจะทำให้โอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงถึง 45% และคนที่ใช้เวลาในการนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันจะมีโอกาสเป็นโรค 19%

     คำแนะนำเพื่อการนอนที่สมบูรณ์ขึ้น
  1. นอนให้เป็นเวลาทุกวัน
  2. ฝึกการผ่อนคลายก่อนเข้านอน
  3. ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน
  4. วิเคราะห์สภาพแวดล้อมของห้องนอน เสียง แสง อุณหภูมิเหมาะสมกับการนอนหรือไม่
  5. นอนบนที่นอนและหมอนที่สบาย
  6. ระวังเรื่องคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก่อนนอน
  7. ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดก่อนเข้านอน

ศึกษาข้อมูลจาก: www.iflscience.comarchpsyc.jamanetwork.comsleepfoundation.org

Sunday, July 5, 2015

การจัดเวลางานส่วนตัวให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

Picture: Pixabay


"การทำงานให้หนักขึ้นเพื่อที่ได้งานมากขึ้นเป็นแนวคิดที่ถูกต้อง แต่ถ้าให้ดียิ่งกว่าคือทำงานให้น้อยลงแต่ได้ผลเท่าเดิมหรือมากขึ้น เวลาเป็นสิ่งที่กลืนกินทุกสรรพสิ่งบนโลกในนี้รวมถึงตัวมันเอง"


ถ้าหลายคนได้เริ่มทำการบริหารเวลาของตัวเองดูแล้วจะพบว่างหลายครั้งที่เราทำไม่ได้ตามเป้าของตัวเอง มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ส่วนหนึ่งมาจากการจัดงานกับเวลาในแต่ละวันของเราไม่เหมาะสมนั้นเอง

จากการศึกษาการจัดเวลาการทำงานของบุคคลสำเร็จ ผมได้กลั่นกรองออกมาเป็นดังนี้

1) กิจวัติในตอนเช้า 
     การตื่นนอนแต่เช้าตรู่เป็นสิ่งที่ธรรมดาแต่สำคัญมาก ตื่นมาก่อนที่ความวุ่นวายในที่ทำงานตอนเช้าจะเกิดขึ้น Richard Branson เจ้าของธุรกิจ Virgin ได้กล่าวไว้ในหนึ่งเคล็ดลับความสำเร็จของเขาว่า ให้ตื่นให้เช้าและมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่สมบูรณ์ และความคิดคุณจะแหลมคมไปตลอดทั้งวัน 
     บางคนอาจจะบอกว่าตนเองนั้นมีสมาธิในตอนค่ำมากกว่าในตอนเช้า พวกเขาจึงเลือกที่จะนอนให้ดึกและตื่นสาย แต่การเข้านอนเช้าและตื่นเช้าเป็นผลดีต่อร่างกายอยู่ 2 ข้อด้วยกัน 
     ข้อแรกเป็นเรื่องของการซ้อมแซมร่างกายของเรา ร่างกายจะใช้โปรตีนมาซ้อมแซมร่างกายได้ดีที่สุดตอนที่เราหลับลึกช่วง 4 ทุ่มจนถึงตี 2 ถ้าลองสังเกตเวลาที่เรานอนดึกแต่นอนเยอะร่างกายจะไม่รู้สึกสดชื่น 
     ข้อสองการที่เราตื่นเช้าจะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลหลั่งออกมาช่วยในเรื่องของหัวใจ หลอดเลือดและสมอง ทำให้ร่างกายตื่นตัว มีบางคนเคยกล่าวไว้ว่าถ้านอนตื่นเที่ยงบ่อยๆชีวิตเราจะสั้นลง เพราะฮอร์โมนที่สำคัญไม่ได้ถูกหลั่งออกมา

นำไปใช้ ควรลองนำสิ่งที่เราทำในตอนเย็นมาไว้ในตอนเช้าแทน เช่น การออกกำลังกาย

2) ให้ทำสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนในตอนเช้า
     เรามักจะทำงานที่เล็กๆน้อยๆก่อนในตอนเช้า เช่นการตอบอีเมล เล่นเฟสบุ๊ค ซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สมองของเราในช่วงเช้านั้นมีคุณค่ามากๆ เพราะช่วงเช้าเป็นเวลาที่เราจะใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้ดีที่สุด แต่นั้นก็มีข้อแม้ว่าเราทานอาหารเช้ามาเพียงพอแล้วเท่านั้น 

นำไปใช้ ในตารางเวลาของเราให้แบ่ง 2 ชั่วโมงแรกทำในงานที่สำคัญที่สุดก่อน แต่ถ้าไม่มีโอกาสที่ทำให้ลองปรับเปลี่ยนโดยการทำมาจากที่บ้านก่อนหรือไปถึงที่ทำงานให้เช้าขึ้น

3) รวมตารางเวลาให้อยู่ในที่เดียว

     อย่าให้ตารางเวลาของเรากระจัดกระจายไปอยู่ในสมุดบันทึก มือถือและแอพต่างๆ ซึ่งผมแนะนำให้ใช้ Google calendar ในการจัดการ เพราะเราสามารถเปิด Google calendar ได้ในแทบทุกอุปกรณ์สื่อสารเทคนิกวิธีการใช้นั้นสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ "10 Tricks ในการใช้ Google Calendar ที่คุณอาจจะไม่รู้" การทำตารางเวลาสำคัญมาก ยิ่งคนที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ตลอดเวลาการที่ต้องมาจำว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้างเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เราควรใช้สมองทั้งหมดไปกับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่มากกว่า

นำไปใช้ ใช้ Google calendar

4) ทำงานด้วยความจริงจังและความเชื่อมั่น

     เป็นเรื่องยากที่เราจะทำงานให้มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จได้ ถ้าเราไม่มีความเชื่อมั่นใงานของเรา คนเรามีศักยภาพที่ยังไม่ได้ถูกแสดงออกมาอีกมากมายเพราะความเชื่อจำกัด ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วมนุษย์เชื่อว่าเราไม่สามารถวิ่ง 100 เมตรได้เร็วกว่า 10 วินาที ผู้คนในยุคนั้นต่างเชื่อเช่นนั้นและไม่มีใครที่วิ่งได้เร็วกว่า 10 วินาทีจริงๆ จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งวิ่งได้เร็วกว่า Jim Hines ในปี 1968 สามารถวิ่ง 100 เมตรด้วยเวลา 9.95 วินาทีในยุคนั้นผู้คนต่างไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นจึงได้มีการเช็คกล้องทุกตัวที่มีในสนามแต่ความจริงก็คือความจริง และหลังจากนั้นก็มีคนทำได้มากขึ้นเรื่อยมีมากกว่า 100 คนที่สามารถทำได้และเวลาต่ำกว่าที่ Jim Hines ทำได้เสียอีก

นำไปใช้ ในแต่ละสัปดาห์ของการทำงาน ให้ทำการวิเคราะห์ผลงานและเป้าหมายของเราอย่างน้อยครึ่งเชื่อโมง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเราและคอยปรับแผนได้ทัน

Saturday, July 4, 2015

10 Tricks ในการใช้ Google Calendar ที่คุณอาจจะไม่รู้


"ทุกคนคงเคยใช้ google calendar กันมาบ้างแล้วแต่คงมีบางอย่างที่หลายคนยังไม่รู้ถ้าใช้เครื่องมือฟรีดีๆนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแล้วแต่ถ้ารู้แล้วมันจะประหยัดเวลาและพื้นที่สมองเราไปได้มากเลย"

1. การใช้ google calendar เป็นเลขาของเราทำรายงานส่งให้เราใน Gmail ทุกเช้าตอนตี 5

วิธีการเปิดใช้งาน ให้คลิกสัญลักษณ์รูปเกียร์ตรงมุมบนขวา > Settings > Calendars tab > คลิก Edit notifications ในปฏิทินที่เราอยากให้รายงาน > เลื่อนลงมาแล้วคลิกในกล่อง Daily Agenda

2. การใช้ Keyboard shortcut ดังต่อไปนี้
ShortcutsDescriptions
K or PPrevious date range
J or NNext date range
RRefresh calendar
TJump to today’s date
1 or DDay view
2 or WWeek view
3 or MMonth View
4 or XCustom view
5 or AAgenda view
CCreate new event
EShow event details
Backspace or DeleteDelete event
Ctrl + Z or ZUndo last action
Ctrl + S or SSave changes to event details
EscReturn to main calendar page
/Places type cursor on the search bar
+Add a calendar
QQuick Add
Ctrl + PPrint calendar
SOpen settings
?Show keyboard shortcuts list
วิธีการตั้งค่า ให้คลิกสัญลักษณ์รูปเกียร์ตรงมุมบนขวา > Settings > General tab > Enable keyboard shortcuts "Yes"

3. Quick add event เราสามารถ คลิก ตรงตารางเวลาที่เราจะทำการใส่ข้อมูลได้เลย


4. การทำ To-Do-Lists
อาจจะหายากซักหน่อยวิธีการทำ To-Do-Lists จะซ้อยอยู่ใย My Calendars ด้านล่างสุด
เมื่อเราทำการคลิกที่ Task แล้วมันจะไปแสดงที่ด้านขวาของหน้าจอ

5. การใส่คำพยากรณ์อากาศลงไป

วิธีการตั้งค่า Settings > General Location ใส่ชื่อเมืองหรือประเทศที่เราอยู่ลงไป และระบุรูปแบบการแสดงข้อมูลเป็นแบบ °C หรือ °F

6. การแสดงเวลาของต่างประเทศ


วิธีการตั้งค่า เข้าไปที่ Settings > Labs tab และมองหา World clock ทำการ enable มันซะ

7. การ Enable และ Disable Notification
บางคนที่เริ่มต้นใช้อาจจะรำคาญ กับ E-mail และ Pop-up บนมือถือเราสามารถปิด เปิดหรือตั้งเวลามันได้


วิธีการตั้งค่า เข้าไปที่ Settings > Calendars tab > คลิก Edit notifications ในปฏิทินที่เราต้องการตั้งค่า > เราจะเห็นช่อง Events notifications ให้เราทำการตั้งค่าตามที่ต้องการ

8.การซ่อนช่วงเวลาที่เราไม่ได้ใช้งาน 
เช่น 12:00 PM ถึง 6:00 AM
วิธีการตั้งค่า Settings > Labs และทำการ enable ช่องที่ชื่อว่า Hide Morning and Night

9. เราสามารถสร้างปฏิทินใหม่ได้


10. เราสามารถเอา Google calendar ไปใส่ในหน้าเวปหรือ Blog ของเราได้


วิธีการตั้งค่า เข้าไปที่ Settings > Calendars tab > คลิก Edit notifications ในปฏิทินที่เราต้องการตั้งค่า > เข้าไปที่ Calendar Details tab > จะเห็นช่อง Embed This Calendar ก็ copy ไปวางในเวปหรือ Blog ของเรา